รีวิว Samsung Galaxy S23 FE : ทำได้(เกือบ)เท่ารุ่นพี่ ในราคาที่ดีกว่าเดิม

หน้าจอ
9.5
กล้อง
8.5
แบตเตอรี่
8
ประสิทธิภาพ
7.5
เสียง
7.5
ดีไซน์
7.5
ความคุ้มค่า
8.5
จุดเด่น
หน้าจอสวยมาก แถมจอแบนทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลและสวยงาม
กล้องถ่ายภาพที่ถ่ายจริงทำได้สวยงาม สีไม่เพี้ยนไม่เว่อเกินไป และคมชัด ถ่ายซูมได้ค่อนข้างโอเค
ฟีเจอร์ที่ให้มาครบ ทั้งกันน้ำกันฝุ่น, Samsung DeX และพอร์ต USB C 3.2 Gen 1
ราคาตัวเครื่องที่คราวนี้ทำออกมาได้คุ้มกว่าเดิม ซื้อติดโปรโมชันเครือข่ายอาจทำได้ถูกกว่านี้อีก
สีเครื่องสวยงาม น่าหยิบมาใช้ (โดยเฉพาะสีมินต์ และสีฟ้า Indigo)
จุดสังเกต
ชิปเซต Eynos 2200 ยังคงร้อนมากอยู่เมื่อเจออุณหภูมิประเทศไทย แต่ก็หายร้อนเร็ว
เกมอาจจะยังไม่ Optimize ให้กับชิปเซตนี้มากนัก ทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้
เครื่องร้อนทำให้แบตเตอรี่ลดเร็วเมื่ออยู่กลางแดดนาน ๆ
ดีไซน์เครื่องที่แม้จะดูสวย แต่ไม่โดดเด่น แถมยังอาจจะออกไปทางคล้ายซีรีส์ A มากเกินไปด้วย
ลำโพงตัวเครื่องที่อยู่ในระดับธรรมดา ไม่เด่นย่านไหนเป็นพิเศษ
8.1
22.900 บาท

ถ้าผมพูดถึง Samsung Galaxy S Series ทุก ๆ คนคงจะรู้กันอยู่แล้วแน่ ๆ ครับว่านี่คือ ‘ซีรีส์ของเรือธง’ ผมเองก็ใช้ S Series เป็นเครื่องหลักในชีวิตประจำวันอยู่เหมือนกัน และถ้าผมเติมคำว่า ‘FE’ หรือ Fan Edition เข้าไป ก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่า นี่แหละ คือสมาร์ตโฟนที่เป็น ‘ตัวคุ้ม’

นี่คือ Samsung Galaxy S23 FE สมาร์ตโฟนที่ดีระดับ ‘S Series’ ในราคาที่ ‘ประหยัดกว่า’ แต่ต้องแลกมากับอะไรบ้าง เดี๋ยวเรามาดูกันแบบละเอียดเลย !

สเปกภายในเครื่อง

ก่อนที่เราจะเข้าไปอ่านข้างใน ดูสเปกเต็ม ๆ ของ Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้กันก่อน

  • หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2X รีเฟรชเรต 120Hz ความละเอียด 2340 × 1080 (FHD+)
  • ชิปเซต Samsung Exynos 2200 รองรับ 5G + การ์ดจอ Samsung Xclipse 920
  • หน่วยความจำขนาด 128/256GB
  • RAM : 8GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8)
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/2.2)
    • กล้องถ่ายภาพซูม (Telephoto) ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล 3x Optical Zoom, 30x Digital Zoom (f/2.4)
  • กล้องหน้าขนาด 10 ล้านพิกเซล (f/2.4)
  • แบตเตอรี่ 4500 mAh พร้อมชาร์จไว 25W (PPS)
  • ซอฟต์แวร์ OneUI 5.1 (Based on Android 13)
    • เตรียมได้อัปเดต OneUI 6 / Android 14 เดือนพฤศจิกายนนี้
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WIFI 6 , Bluetooth 5.3, USB-C 3.2 Gen 1
  • ขนาดตัวเครื่อง 76.5 x 158.0 x 8.2 มิลลิเมตร น้ำหนัก 209 กรัม
  • วัสดุรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม ครอบทับด้านหน้าและหลังด้วยกระจก Gorilla Glass 5
  • มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่สีครีม (Cream) , สีดำกราไฟต์ (Graphite) , สีเขียวมินต์ (Mint) และสีม่วง (Purple) และอีก 2 สีสำหรับคนที่สั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของซัมซุง เป็นสีฟ้าเข้ม (Indigo) และสีส้ม (Tangerine)

ดีไซน์

อย่างแรกที่สังเกตได้ คือสเปกภายในที่ใส่เต็มแบบ S Series แท้ ๆ ทั้งหน้าจอ, กล้อง ไปจนถึงชิปเซตข้างในเลย ซึ่งดีไซน์ก็เช่นกัน อย่างสีของฝาหลังที่จะเรียกว่าล้อมากับดีไซน์ของฝาหลังรุ่น S Series อื่น ๆ ก็ว่าได้ จะติดหน่อยก็ตรงที่ว่า ด้วยความที่ปีนี้ ดีไซน์ของสมาร์ตโฟน Samsung จะใช้การออกแบบที่ ‘ไปในทางเดียวกัน’ ในทุกรุ่น นั่นหมายความว่า ดีไซน์ของตัวเครื่องก็จะมีความต่อเนื่องกันหมด ตั้งแต่ A34, A54 ยาวมาจนถึง S23 FE รุ่นนี้ด้วย ทั้งการวางกล้อง ขอบรอบเครื่อง หรือกระทั่งการวางลำโพงและพอร์ตต่าง ๆ เลย

โดยที่ตัวเครื่องทำดีไซน์ออกมาได้ดีขึ้นจากใน S21 FE อยู่ที่ตอนนี้เปลี่ยนจากฝาหลังแบบโพลิเมอร์ด้าน มาเป็นกระจกเต็มตัวแล้ว ทำให้เป็น ‘Glass Sandwich’ ครอบด้วย Gorilla Glass 5 ทั้งหน้าและหลัง โดยนัยแล้วก็คือแข็งแรงขึ้น และน่าจะเกิดปัญหาได้ยากขึ้นด้วย เพราะด้วยงานประกอบที่บอกได้เลยว่าแน่นขึ้นจริง ๆ นี้

ไหน ๆ พูดถึงฝาหลังแล้ว ผมขอพาไปดูสีเครื่องขายจริงทุกสีของ S23 FE เครื่องนี้กันหน่อยครับ โดยทั่ว ๆ ไปจะวางจำหน่ายอยู่ 4 สี ได้แก่สีครีม (Cream) , สีดำกราไฟต์ (Graphite) , สีเขียวมินต์ (Mint) และสีม่วง (Purple) และอีก 2 สีสำหรับคนที่สั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Samsung.com เป็นสีฟ้าเข้ม (Indigo) และสีส้ม (Tangerine) นั่นเองครับ

ส่วนด้านข้าง จะมีแค่ด้านขวาที่มีปุ่มรวมกันทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ซึ่งตำแหน่งค่อนข้างสูงเป็นปกติ หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่าต้องเอื้อมหน่อย แต่เรื่องนี้อาศัยความเคยชินได้ครับ โดยใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมแล้วด้วย อ้อ แล้วก็กันน้ำกันฝุ่นผ่านมาตรฐาน IP68 ด้วยนะ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถามว่าเป็นเรื่องที่ดีไหม ในมุมผมก็อยากให้มองเป็นดาบ 2 คมครับ คือมันอาจจะดูดี ในสไตล์ S Series ไปจนหมดทุกส่วน แต่ในขณะเดียวกัน ดีไซน์แบบนี้ก็คล้ายกันจนบางคนมองว่าขาดความโดดเด่นไปได้ ซึ่งเรื่องของความสวยงาม และความชอบนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะตัดสินใจแล้วล่ะครับ

แต่ที่ชอบมาก ๆ คือการที่เครื่องใช้พอร์ต USB-C 3.2 Gen 1 ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย ๆ แบรนด์เลือกที่จะลดสเปกและให้มาแค่ USB 2.0 ในเรตราคานี้นะ (ไม่ได้มีแค่แบรนด์ฝั่งอเมริกานะ ฝั่งจีนก็ไม่น้อยหน้า) ทำให้การคัดลอกและส่งข้อมูลจากตัวเครื่องทำได้เร็วแบบเรือธงเลย

หน้าจอ

หน้าจอของ Samsung Galaxy S23 FE คือหน้าจอที่สวยงามแบบไร้ข้อกังขาเลยครับ เพราะนี่คือหน้าจอ ‘ Dynamic AMOLED 2X’ ที่มีรีเฟรชเรต 120Hz ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 × 1080 (FHD+) ที่ให้สีสันสวยงามมาก ๆ ตามแบบฉบับของหน้าจอที่ซัมซุงผลิตเอง ทั้งลื่นไหล ทัชติดมือ แถมให้สีที่ดูดี ตรงนี้อยากให้ไปลองดูที่หน้าร้านเลยครับ มันสวยงามจริง ๆ แถมที่สำคัญ หน้าจอเป็นแบบแบนอีกด้วยนะ !

แต่ที่แปลก ๆ หน่อยเห็นจะเป็นขอบของหน้าจอครับ ที่อาจจะดูหนาไปหน่อย แต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้นะเอาจริง ๆ แล้ว ที่จะแปลก ๆ หน่อยจะอยู่ที่จุดตัดขอบกล้องมากกว่า ที่จะมีขอบที่หนาซ้อนเข้ามาอีกขั้นหนึ่ง จุดนี้เราเคยเห็นไปแล้วในรุ่น A54 นะ แม้ขนาดจะไม่ใหญ่มากนัก แต่ตอนใช้จริงอาจจะรู้สึกแปลก ๆ สักเล็กน้อยครับ

นอกจากนั้น ด้วยความเป็นเรือธง Samsung Galaxy S23 FE เองก็รองรับการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ แบบ Optical หรือแบบแสงเหมือนกัน และก็รองรับ Always On Display อีกด้วย แต่มีข้อสังเกตเล็กน้อยคือ หน้าจอของรุ่นนี้ไม่ใช่ LTPO นะครับ ดังนั้นรีเฟรชเรตของหน้าจอจะอยู่ที่ 60-120 Hz เท่านั้น ลงไปต่ำกว่านั้นไม่ได้ ทำให้การเปิด Always On Display อาจจะไม่ประหยัดแบตเตอรี่เท่ารุ่นพี่นะ !

กล้องถ่ายภาพ

ต่อด้วยกล้องถ่ายภาพกันเลยครับ คือ Samsung Galaxy S23 FE ได้ใส่สเปกกล้องมาน่าสนใจทีเดียวครับ ด้วย กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8), กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/2.2) และกล้องถ่ายภาพซูม (Portrait) ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (3x Optical Zoom) (f/2.4) ซึ่งโดยส่วนตัวของผมมองว่าอยู่ในเซตที่โอเคเลยนะ มีทั้งกล้องถ่ายภาพหลักที่ละเอียดมากพอจะ Binning ได้, กล้องมุมกว้างมาก และกล้อง Portrait ที่ซูมได้ดี ซึ่งถ้าเทียบกับในรุ่นที่แล้วอย่าง S21 FE ในรุ่น S23 FE จะเปลี่ยนกล้องถ่ายภาพหลักให้มีความละเอียดมากขึ้นจาก 12 ล้านพิกเซล เป็น 50 ล้านพิกเซลครับ

ซึ่งการจะถ่ายภาพในสมาร์ตโฟน ทุกคนน่าจะทราบกันว่าต้องทำงานทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ดังนั้นภาพถ่ายที่ทุกคนกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ ต้องผ่านการประมวลผลด้วยชิปเซต ‘Exynos 2200’ ด้วยนะ ! โดยการใช้ ‘Tetra Binning’ หรือการยวบพิกเซลแบบ 4 ยวบเป็น 1 ให้ภาพเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งว่าเดิม แต่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง ลองดูภาพเลยดีกว่าครับ (อย่าลืมกดดูภาพใหญ่ด้วยนะ)

ภาพถ่ายทั่วไปแบบ 1 เท่าจากกล้องหลักของ Samsung Galaxy S23 FE นั้นให้สีที่ไม่หนีจากความเป็น Samsung ในช่วงหลัง ๆ มากนักครับ คือสีจะออกไปทางสดเล็กน้อย ในขณะที่ซัมซุงเองก็พยายามลดความสดนั้นลง ให้สีออกมาจริงขึ้นบ้าง เอาจริง ๆ รุ่นนี้ถ่ายออกมาโอเคเลยนะ เอาภาพไปใช้ได้เลย แทบไม่ต้องแต่ง แต่ของซัมซุงจะชอบเจอจุดสังเกตเวลาถ่ายต้นไม้ ที่สีของใบไม้จะออกมาเหลืองเกินความเป็นจริงไปสักหน่อยเท่านั้น ส่วนเรื่องความคมชัดของภาพอันนี้ไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะออกมาชัดเจนดีแน่นอน ซึ่งที่ออกมาชัดได้ก็เพราะชัตเตอร์ของกล้องที่เร็วด้วยนะ

เรียกได้ว่าประสบการณ์ตอนถ่ายภาพทั่วไป เรียกว่าแทบไม่หนี S23 รุ่นพี่เลยครับ ทำได้ดีตามเรตราคา หรืออาจจะเกินด้วยซ้ำ

ภาพถ่ายมุมกว้างมาก

การถ่ายภาพมุมกว้างมาก แม้จะใช้เซนเซอร์กล้องคนละตัวกัน แต่ซัมซุงได้ปรับแต่งสีให้ออกมาให้ใกล้กันไว้แล้ว ทำให้ตัวภาพถ่ายออกมาไม่หนีกันมากนัก แม้ความคมชัดอาจจะยังดีสู้กล้องหลักไม่ได้ แถมยังมีมุมหลุด ๆ ตรงขอบด้านข้างด้วยความกว้างของเลนส์อยู่บ้าง แต่ถ้าไม่จ้องเพื่อจับผิดภาพจริง ๆ ก็ไม่รู้สึกถึงปัญหานี้นะ

ด้วยความชอบในการเปิดกล้องมุมกว้างมากในการถ่ายภาพวิว คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอใจกับคุณภาพของกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนี้ ลองดูภาพตัวอย่างกันดู

การถ่ายภาพซูม

เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา ซัมซุงเขาก็คิดแคมเปญในการโปรโมตรุ่นพี่อย่าง S23 Series (โดยเฉพาะ S23 Ultra) ว่าเป็นรุ่นที่ ‘ซูมอย่างพี๊คคค’ ซึ่งความซูมพี๊ค ๆ นี้ก็มาจากเลนส์กล้องถ่ายภาพซูมที่ให้มา, กล้องถ่ายภาพหลัก ประกอบกับการปรับแต่งการซูมด้วยซอฟต์แวร์ครับ

ซึ่งใน Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้ก็ได้ให้กล้องถ่ายภาพซูมที่ Optical 3 เท่า ประกอบกับเลนส์กล้องถ่ายภาพหลักที่ก็ได้อัปเกรดมาเป็น 50 พิกเซลแล้ว ทำให้ Samsung Galaxy S23 FE สามารถถ่ายภาพซูมด้วยซอฟต์แวร์ได้สูงสุด 30 เท่าแล้ว ! เดี๋ยวลองดูภาพเทียบระหว่างแต่ละระยะดูครับ

ต้องบอกว่าการถ่ายภาพซูมด้วยรุ่นนี้ทำได้โอเคเลยนะครับ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าซอฟต์แวร์ของ Samsung ประมวลผลภาพซูมได้ดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว โดยจะมีฟีเจอร์น่าสนใจที่ชื่อ ‘Zoom Lock’ คือพอเราถ่ายภาพ และกำลังซูม ตัวซอฟต์แวร์กล้องจะสามารถล็อกวัตถุที่เรากำลังจะถ่าย ทำให้ถ่ายง่ายขึ้นได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีเฉพาะใน S Series เท่านั้นนะ ซึ่งระยะหวังผลการซูมให้ออกมาสวยงาม ไม่รู้สึกติดเรื่องการซูมแล้วภาพวุ้น จะอยู่ที่ 10 เท่าครับ ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะเลยสำหรับสมาร์ตโฟนเรตราคาเท่านี้ ลองดูภาพเทียบระหว่าง 1 เท่ากับ 10 เท่านี้ดูครับ แม้จะไม่พี๊คคค เท่ารุ่นพี่ แต่ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจมากแล้วจริง ๆ

ภาพบุคคล

ภาพถ่ายบุคคลเองก็เป็นอีกอย่างที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ ด้วยการเข้ามาของเลนส์ถ่ายภาพซูม ทำให้การถ่ายภาพบุคคลสามารถถ่ายได้ที่ 1 เท่า , 2 เท่า และ 3 เท่า (บ้าจริง S22 Ultra ในมือยังถ่ายได้แค่ 1 กับ 3 เท่าเอง) ซึ่งใช้การประมวลผลจากกล้องทั้งเลนส์หลัก และเลนส์ Telephoto นี่แหละ

สกินโทนที่ได้จากภาพมาถือว่าอยู่ในระดับ ‘สวย’ เลย สีผิวคนไม่ติดเหลือง ไม่ผ่านการปรับแต่งมากเกินไป แถมยังเก็บการละลายฉากหลังได้เนียนตาอีกด้วย เรียกว่าผ่านมาตรฐานของเรือธงซัมซุงเลย ซึ่งเราสามารถเอาภาพที่ถ่ายแล้วมาแก้การเบลอฉากหลังหรือใส่เอฟเฟ็กต์เพิ่มเข้าไปหลังถ่ายก็ได้เช่นกัน ลองดูภาพตัวอย่างเพิ่มเติมด้านล่างนี้ดู ผมได้ลองถ่ายผสมกันระหว่าง 1x, 2x และ 3x ตามระยะที่เหมาะสมในแต่ละภาพนะ

ภาพถ่ายกลางคืน

คอนเซ็ปต์ของคำว่า ‘Nightography’ ของซัมซุงยังคงอยู่ในทุกรุ่นของเรือธงของซัมซุง ไม่เว้นแม้แต่ Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้ครับ คือเขาได้ใช้การ Tetra Binning ในการยวบข้อมูลแสงจากกล้องถ่ายภาพหลัก และปรับแต่งด้วยซอฟต์แวร์อีกขั้นให้ภาพออกมาสว่างมากยิ่งขึ้น ด้วยพิกเซลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่รับแสงมากขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้เรียกว่า ‘Adaptive Pixel Technology’ ซึ่งเราถ่ายได้ทั้งแบบเปิดและปิดโหมดกลางคืนเลย โดยถ้าเราเปิดโหมดกลางคืน จะได้เวลาในการถ่ายภาพจำนวนมากพร้อม ๆ กันก่อนประมวลผล ให้ภาพออกมาสว่างขึ้นได้ ซึ่งภาพหลังเปิดโหมดกลางคืนเลยจะออกมาสว่าง เห็นรายละเอียดชัดเจนดีเลย

จริง ๆ ผมเองมองว่าความสว่างของภาพอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เราสามารถถ่ายได้ทั้งแบบที่สว่างมากและมืดหน่อยด้วยโหมดปกติ ทำให้เรื่องนี้ทำมาตอบโจทย์ทุกคนที่อยากได้ภาพที่สว่าง หรือมืดเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดีครับ

ส่วนการใช้เลนส์กล้องที่ต่างกันในการถ่ายภาพกลางคืน จัดว่าออกมาดูดีครับ ถ่ายได้ทุกเลนส์เหมือนกับใน S21 FE เลย

เซลฟี

ส่วนการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้า ที่เอาจริง ๆ ก็มาในเทรนด์เดียวกันกับตอน S23 Ultra ที่ลดความละเอียดของกล้องหน้าลง โดยใน S21 FE ความละเอียดกล้องหน้าอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล f/2.2 ในขณะที่กล้องหน้าของ S23 FE มีความละเอียดที่ 10 ล้านพิกเซล f/2.4 เท่านั้น แล้วแบบนี้ภาพจะถ่ายได้ดีหรือเปล่า ? ลองดูตัวอย่างภาพนะครับ

อย่างแรกที่สังเกตเห็นได้คือสีของภาพที่ออกมาสวยงามไม่แพ้กล้องหลังเลยครับ ไม่เหลือง ไม่เพี้ยนใด ๆ แต่ที่สังเกตเห็นได้คือ ความละเอียดอาจจะไม่มากเท่ากล้องหลัง แต่เก็บรายละเอียดและความสวยงามได้โอเคเลย ส่วนโหมด Portrait ก็ถ่ายมาตัดขอบด้านข้างได้โอเคแบบในกล้องหลังด้วย

วิดีโอ

Samsung Galaxy S23 FE ถือเป็นสมาร์ตโฟนตระกูล FE รุ่นแรกเลยก็ว่าได้ครับ ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 8K แต่ได้ที่ 24FPS เท่านั้น ตรงนี้ผมว่าถ้าอยากได้ความลื่นไหลและสวยงามที่สุด แนะนำให้ถ่ายที่ 4K 60 FPS น่าจะดีกว่าครับ คุณภาพวิดีโอที่ถ่ายได้จัดว่าไม่ได้แย่เลยครับ ถือถ่ายทำคอนเทนต์ได้สบาย ๆ สีก็ออกมาโอเคด้วย แต่อาจจะไม่ได้นิ่งมากขนาดนั้นนะครับ

ซึ่งถ้าอยากถ่ายวิดีโอให้นิ่งกว่าเดิม ก็สามารถเปิดโหมด Super Steady ได้ด้วยนะครับ โหมดนี้อย่างที่ทราบกันว่าจะเอากล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากมาใช้ด้วย เลยถ่ายได้ความละเอียดน้อยลงหน่อย เหลือแค่ 1080P 60FPS เท่านั้นครับ ถือว่าละเอียดมากอยู่ครับ

ที่น่าสนใจอีกย่างคือการถ่ายวิดีโอกลางคืนครับ ที่รุ่นนี้เองก็สามารถถ่ายได้เช่นเดียวกัน ลองดูตัวอย่างภาพด้านล่างนี้ได้เลย

สเปก ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้ ขับเคลื่อนด้วยชิปเซตระดับเรือธงครับ แต่รุ่นที่วางจำหน่ายในแต่ละประเทศ จะใช้ชิปที่ไขว้กันระหว่างรุ่น FE และรุ่นธรรมดา กล่าวคือ ถ้ารุ่น S23, S23+ และ S23 Ultra ใช้ชิปเซต Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ในรุ่น FE นี้ก็จะใช้ Exynos แทน ซึ่งใน S23 FE นี้ใช้ Exynos 2200 ชิปเซตเรือธงจากบ้านซัมซุงผลิตเองรุ่นใหม่นี้ครับ

ถ้าพูดถึงชิป ‘Exynos’ หลาย ๆ คน (รวมผมเอง) ก็คงจะต้องเกิดความตกใจกันไม่น้อยแน่นอน เพราะว่าชิปนี้เจอทั้งเรื่องร้อน หน่วง สู้เรือธงฝั่ง Snap ไม่ได้ และอื่น ๆ ซึ่งจริง ๆ ทางซัมซุงก็พยายามแก้ไขเรื่องนี้โดยทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นบ้าง ความร้อนลดลงบ้าง ซึ่งข้อมูลที่ผมทราบมาก็คือ ในรุ่น นี้ทางซัมซุงได้เพิ่มขนาด ‘Vapor Chamber’ ซึ่งเป็นแผ่นทองแดงที่ใช้น้ำในการระบายความร้อน ที่ใหญ่กว่า S23+ อีก 1.5 เท่า เพื่อให้ระบายความร้อนออกจากตัวเครื่องได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งจากการใช้งานจริงมา ถามว่าร้อนไหม ร้อนครับ แต่เฉพาะตอนออกมาเจอกับแดดประเทศไทยเท่านั้น คือถ้าเราใช้งานทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวันแบบไม่เจอแดดจัดมาก ๆ ก็จะไม่รู้สึกร้อนเลยครับ แต่ถ้าออกแดดจัด เครื่องจะร้อน และจะร้อนเป็นพิเศษเมื่อเข้าแอปฯ กล้องไปถ่ายรูปครับ ซึ่งโดยภาพรวมถือว่าไม่มีปัญหามากนัก เพราะเอาจริง ๆ แดดประเทศไทยถึอว่าปราบเซียนพอตัวเลยก็ว่าได้

แต่อีกอย่างหนึ่งที่คนในยุคปัจจุบันใช้กันคือเรื่องของ ‘Productivity’ ครับ ที่คนหลายๆ คนเลือกซื้อมือถือระดับเรือธง เขาซื้อมาเพื่อทำงานด้วยเช่นกัน และ S23 FE เครื่องนี้ก็ใช้ทำงานได้แบบไม่มีหงุดหงิดแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย (เว้นแต่อยากใช้ปากกา ซึ่งต้องไป S23 Ultra แทนแล้ว ฮา) แถมที่น่าสนใจก็คือ S23 FE เครื่องนี้รองรับ DeX Mode หรือโหมด Desktop สำหรับต่อสมาร์ตโฟน Samsung (ที่มักจะมากับ S Series) ด้วยนะ ! แบบนี้หลาย ๆ คนแทบจะซื้อแค่ S23 FE แทนคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ !

ทีนี้มาดูผลการทดสอบกันบ้างครับ ถ้าเราทดสอบความเร็ว CPU ด้วย Geekbench 6.2 ผลคะแนนที่ได้จะได้คะแนน Multi Core อยู่ที่ 3967 คะแนน ส่วนถ้าทดสอบความเร็ว GPU ด้วย 3DMark Wild Life Stress Test จะได้ผลคะแนนสูงสุดที่ 6147 คะแนน และต่ำสุดตอนเกิด Throttle แล้วที่ 3648 คะแนน โดยคะแนนนิ่งที่ 59.4% ครับ ตัวเลขนี้ถามว่าเยอะไหม ก็เยอะนะครับ แต่ถามว่าน้อยไหม ก็ถือว่าแพ้รุ่นพี่ที่ใช้ Snapdragon 8 Gen 2 อยู่พอสมควรเลย

โดยตัวคะแนนถือว่าไม่ได้เก่งจนเว่อวังมาก แต่ประสบการณ์การใช้งานถือว่าผ่านมาก ๆ ครับ ใช้งานทั่วไปถือว่าลื่นไหล ไม่มีสะดุด และด้วย OneUI 5.1 (ที่รออัป OneUI 6 เดือนพฤศจิกายนนี้) ก็ทำให้ S23 FE เครื่องนี้ใช้งานได้ลื่นไหลสวยงามดีนะ

ส่วนถ้าเอามาเล่นเกม โดยเฉพาะเกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact ที่ปรับการตั้งค่าเป็นสูงสุด และเฟรมเรต 60FPS ได้ผลออกมาที่ผิดคาดอยู่พอสมควร คือสามารถเล่นได้ครับ แต่เกิด Lag Spike และกระตุกอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตอนสู้กับมอนสเตอร์มาก ๆ เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากการ Optimize ของตัวเกมที่ทำให้ไม่สามารถปรับสุดและเล่นให้ลื่น ๆ ได้ เพราะงั้นผมว่าถ้าอยากเล่นให้ลื่น ๆ ลดการตั้งค่าเหลือสูง, ปานกลางและปรับเฟรมเรต 60FPS น่าจะดีกว่าครับ

แถมเรื่องของความร้อนก็ร้อนแรงตามมาด้วย เพียงแต่ว่า ความร้อนที่รู้สึกได้อาจจะมาจากการระบายความร้อนที่ดีขึ้น คือความร้อนส่งออกมาทางตัวเครื่องมาก เพราะว่าจากที่เราลองจับเวลาเล่น ๆ ถ้าเกิดเราเล่นเกมจนร้อน และปิดเกม วางทิ้งไว้ เวลาที่ใช้ในการทำให้เครื่องเย็นลง ไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้นครับ แล้วก็จะกลับมาเย็นเหมือนเดิมแล้ว ดังนั้นผมมองว่าขนาดของ Vapor Chamber ที่เพิ่มขึ้นมานี้ ถือว่าใช้งานได้จริงครับ

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S23 FE นี้ได้ให้มาที่ 4500 มิลลิแอมป์ครับ เป็นตัวเลขที่ให้มาเท่ากันกับรุ่นที่แล้วอย่าง S21 FE และชาร์จแบตเตอรี่ได้ไวเท่าเดิมด้วย ‘Super Fast Charging’ หรือเรียกในชื่อที่เข้าใจทั่วไปคือ ‘PPS 25W’ ครับ ซึ่ง PPS ย่อมาจาก Programmable Power Supply ซึ่งเป็นมาตรฐานของ USB PD 3.0 (USB Power Delivery 3.0) อีกทีนะ โดยจ่ายไฟได้หลายระดับกว่าเดิม ให้ชาร์จได้เร็วขึ้นด้วยกำลังไฟที่เหมาะกับอุปกรณ์นั้น ๆ มากที่สุด (ซึ่งตอนนี้ Samsung มีแค่ 25W และ 45W เท่านั้น)

อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของรุ่นนี้ถามว่าใช้ได้จนหมดวันไหม หมดแน่นอนครับ ถ้าไม่ออกแดด คือถ้าเจอแดดแบบประเทศไทยเข้าไป รุ่นไหน ๆ ก็ต้องปราบเซียนทั้งนั้นครับ โดยจากที่เราทดสอบมา คือจัดว่าค่อนข้างมากกว่าคนอื่นอยู่ ด้วยการใช้ตั้งแต่ 10.00 จนถึง 1.00 ของอีกวัน, Screen On Time 2 ชั่วโมง ผ่านมาทั้งเล่นเกม ถ่ายภาพ วิดีโอ และออกแดด แบตเตอรี่ยังเหลืออยู่ 28% ได้ครับ ตัวเลขนี้เอาจริง ๆ ถ้าออกแดดน้อยลงอีกนิด คิดว่า Screen On Time จะได้มากกว่านี้แน่นอนครับ

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่กลับ อย่างที่บอกไว้ว่าสามารถชาร์จได้ไวสุดที่ 25W แต่ต้องใช้สาย และหัวปลั๊กแปลงไฟที่รองรับการจ่ายไฟ PPS นี้ด้วย (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีแถมให้ในกล่องเหมือนเดิม) ซึ่งผมได้ลองทดสอบจับเวลาชาร์จดู พบว่าสามารถชาร์จจาก 15% ยาวจนเต็ม 100% (รวมเวลาที่ต้องรอชาร์จแบตเตอรี่ช้าลงจาก 80 – 100%) ได้ภายใน 1 ชั่วโมง 7 นาทีเท่านั้น ถือว่าไม่ได้เร็ว และก็ไม่ได้ช้ามากครับ เพราะคงเร็วเมื่อเทียบกับแบรนด์จีนที่ใช้มาตรฐานการชาร์จเร็วของตัวเองไม่ได้ แต่ข้อดีคือระบบชาร์จ PPS นี้หาหัวชาร์จเร็วได้ง่ายกว่าครับ หาซื้อได้ทั่วไปเลย ติดแค่ต้องซื้อแยกเท่านั้นเอง

สรุปส่งท้าย

ก่อนผมจะเริ่มรีวิว Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้ ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า รุ่นนี้จะอยู่ตรงไหนในระดับของสมาร์ตโฟนในพอร์ตของ Samsung กัน โดยส่วนตัวของผมแล้วมองว่ารุ่นนี้อยู่ในตำแหน่งที่กำลังดีของ Samsung เลยครับ คือทั้งสเปก ประสบการณ์การใช้งาน ไปจนถึงระบบการทำงาน ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ และอื่น ๆ ที่ดีในระดับเรือธง แต่ต้องแลกมาด้วยข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบางจุด และระดับราคาที่ดีเหลือเชื่อมาก ๆ ว่าแล้วมาดูราคาเปิดตัวของ Samsung Galaxy S23 FE เครื่องนี้กัน โดยวางจำหน่ายที่ราคาดังนี้

  • รุ่นความจุ 8GB / 128 GB ราคา 22,900 บาท
  • รุ่นความจุ 8GB / 256GB ราคา 25,900 บาท

ซึ่งถ้าเทียบกันระหว่างระดับราคา และประสบการณ์ ประสิทธิภาพที่ได้แล้ว ผมว่าเหมาะกับคนที่อยากได้ความคุ้มจริง ๆ ครับ เพราะลองนึกภาพว่าเราซื้อแบบติดโปรโมชันเครือข่ายเข้าไปด้วย อาจจะได้ราคาเริ่มต้นต่ำ 20,000 บาทก็ได้นะ ถ้าได้ราคาระดับนั้น ผมว่าน่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจอยากตามไปจัด สามารถตามไปลองเล่นจับเครื่องจริงได้ที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการก่อน หรือถ้าใครอยากจองแล้ว ทางซัมซุงเขาก็จัดโปรโมชันช่วงจองให้อยู่เช่นกัน โดยใครที่ลงทะเบียนความสนใจใน Galaxy S23 FE ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2566 เวลา 8.00 น. จนถึง 19 ตุลาคม 2566 นี้ จะได้โปร 2 ต่อไปเลย ทั้ง

  • เพิ่มความจุ 2 เท่า (มูลค่า 3,000 บาท) คือซื้อในราคา 22,900 บาท แต่ได้รุ่นความจุ 256GB เลย
  • รับเพิ่มเป็น Samsung Care+ ประกันจอแตกและอุบัติเหตุ 1 ปี มูลค่า 4,590.-

ใครที่สนใจสามารถกดเข้าไปลงทะเบียนความสนใจได้ที่ลิงก์นี้เลย !

สุดท้ายนี้ผมว่ารุ่นนี้เหมาะสำหรับการเป็น ‘Everyday Phone’ หรือสมาร์ตโฟนสำหรับคนใช้งานทั่ว ๆ ไป ใช้ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกคน จะเอาไปถ่ายรูป ทำงาน หรือเล่นเกมทั่ว ๆ ไปเล็กน้อย อันนี้ทำได้ชิว ๆ เลย แม้จะมีบางอย่างที่หลุด ๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกรุ่นที่อยากแนะนำสำหรับคนที่อยากได้มือถือที่ค่อนข้าง All Round ในราคาคุ้ม ๆ ครับ

The post รีวิว Samsung Galaxy S23 FE : ทำได้(เกือบ)เท่ารุ่นพี่ ในราคาที่ดีกว่าเดิม appeared first on #beartai.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า