REVIEW | รีวิว OPPO Reno11 F 5G และ Reno11 5G สองมือถือกล้อง Portrait ถ่ายคนสวยระดับโปร ราคาหมื่นต้น ๆ 

ลองจับลองเล่น OPPO Reno11 F 5G และ Reno11 5G สองมือถือดีไซน์สวยที่มีค่าตัวอยู่ที่หมื่นต้น ๆ เท่านั้น แต่ว่าได้กล้อง Portrait ที่ถ่ายสวยถึงใจ จอใหญ่ดูคอนเทนต์ได้สบายตา ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7050 เล่นเกมได้ลื่น แบตเยอะแถมมีชาร์จไว SUPERVOOC 67W 

OPPO Reno11 5G 

ดีไซน์สวยเด่น เน้นความเป็นธรรมชาติ

OPPO Reno11 5G รุ่นเริ่มต้นของซีรีส์ ซึ่งสีที่เราได้มานั้นเป็นสีเขียว Wave Green เป็นสีเขียวแบบน้ำทะเล มีความแวววาว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผ้าไหมธรรมชาติเพื่อสร้างแสงเงาสุดระยิบระยับ ผิวสัมผัสเรียบลื่นเหมือนกับสัมผัสไปที่พื้นผิวแบบหินอ่อน เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นเป็นกลิตเตอร์กระจายตัวอยู่เต็มฝาหลัง ข้อดีคือจับแล้วไม่เป็นรอยนิ้วมือให้รำคาญใจ 

ตัวเครื่องบางและเบา เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของดีไซน์ที่ชอบเลย ตัวเครื่องมีขนาดความบางอยู่ที่ 8.04 มม. และน้ำหนักประมาณ 182 กรัม กรอบหลังดีไซน์โค้งมน ทำให้หยิบจับได้ถนัดมือ พกพาใส่กระเป๋าหรือจะถือถ่ายรูปก็สะดวก 

พลิกมาที่ด้านข้างของเครื่องจะเป็นปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง ส่วนที่ชาร์จจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง 

จอโค้ง 3D 120Hz ลื่นไหลในทุกมิติ

OPPO Reno11 5G ให้จอแสดงผล OLED แบบโค้ง 3D ขนาดอยู่ที่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2412×1080 พิกเซล) ดูหนัง ดูคอนเทนต์ได้อย่างเต็มตา ใช้งานได้อย่างลื่นไหลเพราะว่ารองรับการปรับรีเฟรชเรต 3 ระดับ 60/90/120Hz ให้สว่างสูงสุด 800 nits ใช้งานกลางแจ้งกลางแดดยังไงก็ไหว รองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR10+ ด้วย

ลำโพงคู่ เสียงดังรอบด้านสะใจ 

รุ่นนี้ให้ลำโพงมาถึง 2 ตัว ดูหนัง ฟังเพลงแบบสะใจ จากที่ทดสอบใช้งานลำโพงด้วยการเปิดเสียงแบบ 50% ในห้องที่มีคนอยู่หลายคน พบว่าเสียงที่ได้คือชัดแจ๋ว ดังมากพอที่จะฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้ จากนั้นได้ลองเปิดไปสุด 100% บอกเลยว่ากระหึ่มสะใจ ไม่มีผิดหวัง

กล้องหลังเทพ ถ่ายคนได้อย่างโปร

อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันดีอยู่แล้วว่า OPPO Reno11 5G เนี่ยเค้าโดดเด่นเรื่องการถ่ายภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะการถ่ายภาพคนที่ทำออกมาได้ดีเหมือนมีมือโปรมาถ่ายให้ โดยกล้องหลังของรุ่นนี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 50MP มีเซนเซอร์กันสั่น OIS + กล้อง Portrait Telephoto 32MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX709 จาก Sony ถ่ายรูปเบลอหลังสวย ๆ เทียบชั้นกล้อง DSLR + กล้อง Ultrawide 8MP มุมกว้าง 112 องศา ซึ่งเรามาดูภาพจากกล้องหลักกันก่อนเลย 

ส่วนงานวิดีโอ รุ่นนี้สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 30FPS และเมื่อเปิดระบบกันสั่นวิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 60FPS วิดีโอก็จะประมาณนี้เลย 

ภาพจากกล้อง Ultrawide ซึ่งเราได้ทำการถ่ายภาพเทียบกับกล้องหลักทั่วไป พบว่า ถ้ามองเผิน ๆ ภาพมุมกว้างที่ออกมาแทบจะไม่แตกต่างจากภาพจากกล้องหลักมากนัก (นอกจากระยะภาพ อันนี้ต่างแหละ) และถึงแม้ภาพที่ได้จะกว้างขึ้น แต่รายละเอียดของภาพก็ไม่ได้มีผิดเพี้ยนไป ที่น่าสนใจคือ สีของภาพถูกปรับให้สว่างขึ้น สีเหลืองถูกดึงออกมานิดหน่อย 

Portrait หน้าชัดหลังละลาย ถ่ายคนอย่างโปร

รุ่นนี้ได้มีกล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical ได้ 2X ถ่ายคนได้หน้าชัด หลังละลายแบบที่ไม่สูญเสียความละเอียด มี Portrait Expert Engine ถ่ายรูปออกมาได้สวยปัง ไม่ต้องง้อแอป ซึ่งระบบเค้าจะปรับแต่งแสงและเงาของ Skin Tone ให้เรียบร้อยเลย

Portrait แบบธรรมดา

Portrait แบบ 2X

ขอบอกเพิ่มเติมอีกนิดว่า Portrait Expert Engine มีความสามารถที่หลากหลาย ทั้ง แยกหน้าคนกับวัตถุด้านหลังได้ คือ จะสามารถเบลอฉากหลังไว้ให้และแยกด้านหน้าให้ออกมาคมชัดเหมือนเดิม , มีการปรับแต่งสีผิวของนางแบบให้อัตโนมัติ,  มีการช่วยลดจุดรบกวนของภาพให้ และปรับแสงเงาในภาพด้วยการใช้ HDR ที่เหมาะสม จบครบในเครื่องเดียว 

ส่วนภาพถ่ายในโหมดกลางคืน เราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในที่แสงน้อย ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าอาจจะต้องใช้ไฟฉายช่วย แต่เมื่อลองใช้โหมดสำหรับถ่ายภาพกลางคืนแล้วนั้นบอกเลยว่ากล้องสามารถดึงแสงออกมาได้สว่างเห็นทุกรายละเอียดเลย 

กล้องเซลฟี่ที่ถ่ายออกมาแล้วสวยจึ้ง

OPPO Reno11 5G ให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดมาอยู่ที่ 32MP ถ่ายแบบธรรมดาก็เก็บได้ครบทุกรายละเอียดบนใบหน้า หรือว่าจะถ่ายแบบเปิด Beauty ก็ทำออกมาได้ดีเหมือนผิวดีตั้งแต่เกิด โดยได้ทดลองเปิด Beauty ตามที่ตัวเครื่องตั้งค่า ภาพที่ออกมาก็จะประมาณนี้เลย 

นอกจากนี้ยังเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย สามารถปรับค่าความเบลอได้ตั้งแต่ f16 ไปจนถึง f1.4 พอเซลฟี่ออกมาก็จะมีความเบลอหลังเนียน ๆ เป็นธรรมชาติแบบนี้เลย

สำหรับการเซลฟี่ในที่แสงน้อย ตัวเครื่องได้มีแฟลชแบบซอฟท์แวร์มาให้ สว่างจ้าสะใจ จะไปถ่ายรูปตรงมุมไหนก็เห็นได้ชัดแจ๋ว โดยเราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในห้องที่มีแสงเล็ดลอดเล็กน้อย ภาพที่ได้จากแสดงแฟลชของจอก็จะประมาณนี้เลย

มาที่งานวิดีโอ กล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอได้ 4K 30FPS เช่นเดียวกับกล้องหลัง แต่เมื่อเปิดกันสั่น ความละเอียดจะถูกลดลงมาอยู่ที่ 1080P 30FPS ค่ะ หรือจะถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้ดีเหมือนกันนะ   

สเปค OPPO Reno11 5G

  • จอภาพ : จอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว
    – ความละเอียด FHD+ (1080 x 2412 พิกเซล)
    – สว่างสูงสุด 800 nits
    – อัตรารีเฟรช 120Hz
    – รองรับ HDR10+
  • ชิป : Dimensity 7050
  • RAM LPDDR4x : 12GB
  • ROM UFS 2.2 : 256GB
  • กล้องหลัง Sony 3 ตัว :
    – กล้องหลัก LYT600 50MP (f/1.8), ระบบกันสั่น OIS
    – กล้องอัลตราไวด์ IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา (f/2.2)
    – กล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical x2
  • กล้องหน้า : OmniVision 32MP (f/2.4)
  • เสียง : ลำโพงคู่สเตอริโอ
  • แบตเตอรี่ : 5,000 mAh
    – รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 2.0
  • เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, IR Blaster
  • ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด / น้ำหนัก : 162.4 มม. x 74.3 มม. x 7.99 – 8.04 มม. (ขึ้นอยู่กับรุ่นฝาหลัง) / 182 กรัม

ข้อดี

  • จอใหญ่
  • จอโค้ง เครื่องสวย
  • กรอบหลังลายเป็นเอกลักษณ์
  • กรอบหลังไม่เป็นรอยนิ้วมือ
  • ถ่ายรูปสวย มีกล้อง Portrait Telephoto มาให้
  • โหมด Beauty แต่งภาพดี
  • ลำโพงคู่
  • แบตเตอรี่เยอะ มาพร้อมชาร์จไว

ข้อสังเกต

  • โมดูลใหญ่ เวลาเล่นเกมแล้วมือไปโดนกล้อง
  • ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่นให้

OPPO Reno11 F 5G

มาดูที่รุ่นเล็กอย่าง  OPPO Reno11 F 5G  กันบ้าง ซึ่งรุ่นนี้ก็จะมีสเปคหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับรุ่น Reno11 5G เลย ซึ่งก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาดูด้านดีไซน์เครื่องกันก่อน ตัวเครื่องรุ่นนี้เป็นจอแบน ตัวเครื่องสี่เหลี่ยม ตัวเครื่องจะหนากว่ารุ่น Reno11 5G ขึ้นมาอีก 

ซึ่งสีที่เราได้มารีวิวนั้นคือสีฟ้า Ocean Green เมื่อส่องเข้าไปใกล้ ๆ ตัวเครื่องจะมีความระยิบระยับ คล้ายกับแสงที่ส่องไปบนท้องทะเล จับแล้วไม่เป็นรอยนิ้วมือเช่นเดียวกัน กล้องหลังวางอยู่บนโมดูลวงกลมที่ทับอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมอีกที 

เมื่อสำรวจรอบ ๆ เครื่อง ปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงจะอยู่ฝั่งเดียวกันที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ถาดใส่ซิมจะอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนลำโพงและพอร์ตชาร์จจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่องค่ะ 

จอ 6.7 นิ้ว ลื่น 120Hz ขอบบาง       

OPPO Reno11 F 5G ใช้จอขนาด 6.7 นิ้ว ที่ขอบบางมาก ๆ เพียง 1.47 – 2.37มม. ใช้พาเนล AMOLED 10-bit ความละเอียด  (2412×1080) Full HD+ รองรับการแสดงผล HDR10+ ให้ความสว่างสูงสุด 1100 nits ใช้งานดูคอนเทนต์หรือเล่นเกมได้สบาย จอใหญ่เต็มตา ไม่ต้องเพ่งเยอะ 

กล้องหลัก 64MP จะถ่ายรูปหรือวิดีโอก็ปัง 

OPPO Reno11 F 5G เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ถ่ายรูปได้สนุกไม่แพ้กัน กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 64MP + กล้อง Ultrawide IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา + กล้อง Macro 2MP ภาพที่ได้จากกล้องหลักก็จะคมชัดประมาณนี้เลย 

มาดูที่ กล้อง Ultrawide กันบ้าง เมื่อเทียบกับภาพถ่ายธรรมดามาดูในเรื่องของสีก่อน ในภาพมุมกว้างสีที่ได้จะไม่ค่อยต่างกับภาพธรรมดาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ดูเหมือนจะติดแดงเล็กน้อย แต่ถ้าถ่ายไปโดนแสงไฟก็จะมีความฟุ้งในบริเวณแสงขึ้นมานิดหน่อย ส่วนการเก็บรายละเอียดก็ทำออกมาได้ดี เก็บรอบข้างได้อย่างครบถ้วน    

รุ่นนี้รองรับวิดีโอความละเอียด 4K 30FPS และเมื่อเปิดระบบกันสั่นวิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 60FPS  

ส่วนการถ่ายภาพบุคคล รุ่นนี้ก็สามารถเบลอหลังได้สวยเช่นเดียวกัน เพราะว่าได้มี Portrait Expert Engine ใส่มาให้ด้วย ซึ่งดูที่ความเบลอก็ถือว่าเก็บขอบได้ดี หน้าชัดหลังละลาย แต่จะมีบางจุด (เล็กมาก ๆ ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็คือไม่เห็นแหละ)

Portrait แบบธรรมดา

Portrait แบบ 2X

รุ่นนี้ได้ให้กล้อง Macro มาให้เอาไว้ถ่ายภาพวัตถุใกล้ ๆ ซึ่งเราก็ได้ลองไปถ่ายนางแบบประจำออฟฟิศอย่างน้องคนนี้ บอกเลยว่ากล้องเก็บได้ทุกเม็ด ไม่ว่าจะขนเส้นเล็กเส้นใหญ่

มาต่อที่ภาพถ่ายในโหมดกลางคืน เราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในที่แสงน้อยโดยใช้โหมดสำหรับถ่ายภาพกลางคืน ถือว่าทำออกมาได้โอเคเลย คมชัดเห็นทุกอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ตัวกล้องดึงแสงออกมาได้ดี แต่จะมีบางช่วงของแสงที่ดูเหมือนว่าจะทำให้ภาพจะมีความฟุ้งเล็กน้อย

กล้องหน้า 32MP 

OPPO Reno 11 F 5G ให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดมาอยู่ที่ 32MP เท่ากับรุ่น Reno 11 5G เลย ซึ่งก็มีมาให้แบบครบ ๆ ทั้งปรับแต่งสีและโหมด Beauty ทำหน้าที่คอยเติมหน้าและเบลอผิวให้ออกมาดูดี ตลอดจนภาพถ่ายแบบ Portrait ก็เบลอหลังออกมาได้สวยละมุน ถูกใจสายเซลฟี่แบบเรามาก

ภาพถ่ายธรรมดาแบบเปิด Beauty

ภาพถ่ายแบบเปิด Portrait

ส่วนงานวิดีโอกล้องหน้าก็สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 4K 30FPS และหากเปิดกันสั่นหรือเปิดโหมด Beauty วิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 30FPS หรือจะถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้เช่นกัน

สเปค OPPO Reno11F 5G

  • จอภาพ : จอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว
    – ความละเอียด FHD+
    – อัตรารีเฟรช 120Hz
    – รองรับ HDR10+
  • ชิป : MediaTek Dimensity 7050
  • RAM LPDDR4x :8GB
  • ROM UFS 2.2 : 256GB
  • กล้อง 3 ตัว :
    – กล้องหลัก OV64B 64MP
    – กล้องอัลตราไวด์ IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา
    – กล้อง Macro 2MP
  • กล้องหน้า : IMX615 32MP
  • เสียง : ลำโพงเดี่ยว
  • แบตเตอรี่ : 5,000 mAh
    – รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 2.0
  • เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, IR Blaster
  • ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
  • ความทนทาน: IP65
  • ขนาด / น้ำหนัก : 161.1 x 74.7 x 7.54 มม. / 177 กรัม

ข้อดี

  • จอใหญ่
  • กรอบหลังลายเป็นเอกลักษณ์
  • กรอบหลังไม่เป็นรอยนิ้วมือ
  • ถ่ายรูปสวย เบลอหลังดี
  • โหมด Beauty แต่งภาพดี
  • แบตเตอรี่เยอะ มาพร้อมชาร์จไว
  • มีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP65

ข้อสังเกต

  • โมดูลใหญ่ เวลาเล่นเกมแล้วมือไปโดนกล้อง
  • ลำโพงเดี่ยว

ชิป MediaTek Dimensity 7050 เล่นเกมไหว

ทั้งสองรุ่นนี้ได้ใช้ชิปตัวเดียวกันคือ MediaTek Dimensity 7050 แต่ที่ต่างกันก็คือ RAM ที่จะทำให้การเล่นเกมจะมีความเหลือบกันอยู่เล็กน้อย โดย OPPO Reno11 F 5G จะใช้เป็น RAM LPDDR4x ที่ 8GB ส่วน  OPPO11 F 5G จะเพิ่มมาอยู่ที่ 12GB ผลการทดสอบก็จะประมาณนี้

Subway Surfers 

มาที่เกมแรกเราก็ได้เลือกโหลด Subway Surfers ลองเล่น พบว่าทั้งรุ่น Reno11 F และ 11 5G เล่นได้ลื่นดี ตอบสนองไว กดเลื่อนขึ้นลงได้ปกติไม่มีกระตุก ตอนที่วิ่งไว ๆ สับ ๆ ก็ไหว ไม่อืด สำหรับเกมเบสิคทั่ว ๆ ไป คือเล่นได้หายห่วงเลย 

Genshin Impact 

จากนั้นได้มาทดสอบด้วยเกมที่กินสเปคอย่าง Genshin Impact ต่อ ซึ่งเราได้ทดสอบเล่นเกมดังกล่าวด้วยการเปิดกราฟิกไปที่สูงสุด 60FPS พบว่าสามารถเล่นได้ แต่ไม่ถึงกับลื่นไหล เมื่อเล่นไปสักพักจะรู้สึกได้ถึงความหน่วงบ้าง กระตุกบ้างเป็นปกติ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยล่ะ ส่วนเรื่องความร้อนของตัวเครื่องจะเริ่มอุ่น ๆ เมื่อเล่นไปที่ประมาณ 15 – 20 นาที และร้อนขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้

ฟีเจอร์ Flie Dock เก็บภาพและข้อความใน 30 วัน

อีกหนึ่งพาร์ทของรุ่นนี้ที่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นเลยก็คือฟีเจอร์ Flie Dock นี่แหละ เป็นฟีเจอร์เอาไว้บันทึกภาพ หรือข้อความที่เราก็อบไว้ การใช้งานก็แสนจะง่าย หากต้องการที่จะบันทึกข้อความหรือภาพก็แค่ครอบตรงจุดนั้น แล้วลากมาใส่ไว้ใน Flie Dock ที่อยู่มุมขวาบนของจอได้เลย แถมไม่ต้องกังวลว่าความจำของฟีเจอร์นี้จะเต็ม เพราะเค้าเก็บข้อมูลไว้ 30 วัน และข้อมูลนี้จะซิงค์กับโทรศัพท์และแท็บเล็ต ColorOS 14 ที่ลงชื่อเข้าใช้บัญชี OPPO ไว้

แบตเยอะ ชาร์จไว หายห่วง

ทั้งสองรุ่นนี้ได้ให้แบตเตอรี่มาเท่ากันอยู่ที่ 5000mAh จะใช้งานดูหนัง ถ่ายรูป หรือเล่นเกม ก็ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะไม่พอใช้ แถมยังได้ชาร์จไวอีกด้วย SUPERVOOC 67W ด้วย จากที่เราได้ลองนำทั้งคู่ออกไปใช้งานรีวิวแบบรัว ๆ ตั้งแต่ชาร์จเต็ม 100% โดย OPPO Reno11 5G ใช้งานไป 1 วัน 16 ชั่วโมง มีข้ามคืนบ้าง พักบ้าง แบตเตอรี่ลดเหลือ 5% ส่วน OPPO Reno11 F 5G ใช้งานไปประมาณ 20 ชั่วโมง ซึ่งรุ่นนี้ได้เทสเกมและดูซีรีส์แบบไม่พักหนักไปหน่อย แบตเตอรี่ลดเหลือ 2%

สรุปการใช้งาน

ในการใช้งานทั้งสองเครื่องนั้น การใช้งานทั่วไปก็ถือว่าใช้ได้เลย ทั้งเอาไว้ดูคอนเทนต์ เล่นเกม แต่งรูป ทำออกมาได้ดีทั้งคู่ แต่ตรงที่ต่างกันก็จะเป็นในเรื่องของกล้องที่มีมาให้ไม่เหมือนกัน แต่เรื่องการดึงแสง โหมด Beauty การถ่ายภาพเบลอหลังต่าง ๆ บอกเลยว่าเอาเรื่องจริง ๆ ในส่วนที่ไม่ได้คาดหวังอย่างการเล่นเกมก็ทำออกมาได้โอเค ใครที่มองหามือถือเอาไว้ถ่ายภาพในงบหมื่นต้น ๆ ก็ฝากมองสองรุ่นนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกนะ

You may have missed

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า