หน้าจอ
7.5
กล้อง
6.5
แบตเตอรี่
6
ประสิทธิภาพ
7.5
เสียง
6.5
ดีไซน์
9
ความคุ้มค่า
8
จุดเด่น
เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิง 5G ที่ราคาดี ให้สเปกที่เล่นเกมได้ในระดับที่ดีกว่าสมาร์ตโฟนเรตราคาเดียวกัน
ซอฟต์แวร์สำหรับการเล่นเกมที่จัดเต็ม ไม่ตัดฟีเจอร์ออกมาก
ดีไซน์ตัวเครื่องที่โดดเด่นมาก มองจากระยะไกลก็สามารถดูออกได้ว่านี่คือสมาร์ตโฟนรุ่นใด
Codec เสียงผ่าน Bluetooth ที่จัดมาครบถ้วน
หน้าจอที่คมชัดมาก ไม่รู้สึกอึดอัด หรือรำคาญเวลาใช้งาน
จุดสังเกต
กล้องถ่ายภาพที่อาจจะยังไม่ได้ดีมากนัก แถมมีดีไซน์กล้องถ่ายภาพหลอกด้านล่างกล้องวัดระยะ
แบตเตอรี่ที่อาจจะถือว่าน้อยไปสำหรับสมาร์ตโฟนเกมมิง
เซนเซอร์แสกนลายนิ้วมือทำงานพลาดอยู่บ้าง
ลำโพงเดี่ยวที่เสียงดังแต่ไม่โดดเด่น
หน้าจอที่ใช้เป็น IPS LCD ทำให้หน้าจอไม่สู้แสงมากนัก
7.3
6,999 บาท

ทุกคนคิดว่าสมาร์ตโฟนเกมมิงจะต้องราคาเท่าไหร่กันครับ ? Nubia ซึ่งเป็นบริษัทแยกจาก ZTE รวมถึงเป็นแบรนด์ที่ออก ‘Redmagic’ สมาร์ตโฟนเกมมิงตัวแรงที่ล่าสุดเพิ่งออกรุ่นใหม่ที่ให้แรมถึง 24GB มาเอง ! ได้ตัดสินใจเปิดตัวและวางจำหน่ายสมาร์ตโฟนเกมมิงราคาประหยัด ‘nubia Neo 5G’ สมาร์ตโฟนเกมมิงที่เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยแค่ ‘6,999 บาท’ เท่านั้น !? แล้วสมาร์ตโฟนเกมมิงราคา 7,000 บาทนี้จะสามารถเล่นเกมอะไรได้บ้าง และมีอะไรดีอีกบ้าง เรามาดูกันครับ

ดีไซน์

แม้จะเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงราคาประหยัด แต่ดีไซน์ของตัวเครื่องถือว่าจัดเต็มมาก ๆ ทั้งฝาหลังที่ดีไซน์โดดเด่นแบบเกมเมอร์จ๋า ๆ เครื่องที่ได้มารีวิวนี้คือสี ‘Phantom Black’ ซึ่งเป็นสีเทาดำเงา ตัดกับสีทองในจุดต่าง ๆ บนฝาหลังที่ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา พร้อมกับลายเหมือนตาเหยี่ยวบนฝาหลัง โดยในประเทศไทยมีวางจำหน่ายสีเหลือง ‘War-Damaged Yellow’ ที่โดดเด่นมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ถ้าใครเห็นก็ต้องตอบได้ว่านี่คือ nubia Neo 5G และดีไซน์รอบ ๆ ตัวเครื่องที่ใช้ดีไซน์แบบขอบตัด ร่วมสมัยสมาร์ตโฟน (แบรนด์จีน) ในปัจจุบัน

รอบ ๆ ตัวเครื่องจะมีไมค์โครโฟนตัดเสียงรบกวนด้านบน, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้าง (สแกนเร็ว แต่ยังมีผิดพลาดบ้าง), ลำโพงด้านล่าง, USB-C ที่ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าใช้เวอร์ชันใด และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านซ้ายตัวเครื่องมีแค่ช่องเสียบซิม (ใส่ได้ 2 ซิม 5G คู่ แต่ไม่รองรับการเพิ่ม Micro SD Card แต่อย่างใด) ซึ่งถือว่าให้มาครบถ้วนดีเหมือนกันนะ เหมาะกับเกมเมอร์ที่ยังไงก็ต้องต่อหูฟังมาเล่นเกมแน่นอน

จะให้ติเรื่องการดีไซน์ ก็คงจะเป็นเรื่องการวางกล้องถ่ายภาพด้านหลังที่มี 2 ตัว แต่ใช้การวางกรอบให้มี 3 ตัว และอีกตัวด้านล่างเป็น ‘กรอบเทียม’ เท่านั้นเอง ! โดยส่วนตัวของผู้เขียนมองว่าจริง ๆ ทำเป็น 2 กล้องโดยตรงเลยก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก

อุปกรณ์ในกล่องจะประกอบไปด้วย :

  • ตัวเครื่อง nubia Neo 5G
  • อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 22.5W QC 3.0 ของ ZTE
  • สายชาร์จ USB-A to USB-C
  • เคสสิลิโคน
  • เข็มจิ้มซิม และคู่มือการใช้งาน

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

แน่นอนว่า nubia Neo 5G จั่วหัวมาว่าเป็นสมาร์ตโฟนเพื่อการเล่นเกม ดังนั้นเรามาลองดูเรื่องประสิทธิภาพ และการเล่นเกมกันบ้างดีกว่า

คือสมาร์ตโฟนเครื่องนี้เลือกเดินทางแปลกครับ ปกติเราจะเห็นสมาร์ตโฟนใช้ชิปเซตเป็น Snapdragon หรือ Dimensity กัน แต่ nubia Neo 5G เครื่องนี้ ใช้ชิปเซต ‘Unisoc Tiger T820’ ซึ่งเป็นชิปเซต 5G ระดับกลาง ขนาด 6 นาโนเมตร (8 Core สูงสุด 2.7 GHz) รุ่นใหม่ที่ตอนนี้ จากการหาข้อมูลของผู้เขียน มีเพียงแค่ nubia Neo 5G รุ่นนี้ที่ได้ใช้ ! (Exclusive สุด ๆ !)

ส่วนสเปกอื่น ๆ ภายในเครื่อง nubia Neo 5G มาพร้อมกับแรมขนาด 8 GB (เพิ่มความจุผ่านเทคโนโลยี Memory Fusion ได้อีก 10GB) และหน่วยความจำแบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB ที่ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะเลยสำหรับสายเน้นเล่นเกมเป็นหลัก

เอาล่ะ แนะนำสเปกเสร็จแล้วมาดูผลการทดสอบและลองลงสนามจริงกันดีกว่า

คือถ้าเราทดสอบด้วย Geekbench 6.1.0 จะได้คะแนน Single-Core ที่ 874 คะแนน และ Multi-Core ที่ 2,383 คะแนน ซึ่งถือว่าแอบสูงกว่า Snapdragon 695 ซะอีกนะเนี่ย !

แต่ถ้าทดสอบกราฟิกด้วย 3D Mark ชุด Wild Life Stress Test จะได้คะแนนสูงสุดอยู่ที่ 2,000 คะแนน, นิ่งที่ 99.4 % และอุณหภูมิสูงสุดที 35 องศา ถือว่าค่อนข้างอุ่นเลยทีเดียวสำหรับการทดสอบกราฟิกที่ได้คะแนนหลัก 2,000 เช่นนี้ แต่ก็ยังเป็นตัวเลขคะแนนที่สองพอจะเล่นเกมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่จุดที่แตกต่างที่ทำให้ nubia Neo 5G เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงจริง ๆ คือซอฟต์แวร์เกมของเขานี่แหละ ! คือในตัวเครื่องจะมี ‘Game Space’ หรือเป็นแอปฯ ที่รวมหน้าเกมเข้าด้วยกันให้เรากดเข้าเกมได้ง่าย ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการเล่นเกมให้ดีขึ้นอยู่ นอกจากนั้น พอเราเข้าเกม ก็จะมีหน้า Game Space นี่แหละ ที่จะครอบทับหน้าเกมของเราอีกที และจัดฟีเจอร์เข้ามาเต็มในระดับเท่ากันกับรุ่นพี่อย่าง Redmagic Series กันเลยทีเดียว ดังนั้นขอแนะนำฟีเจอร์ที่ผู้เขียนว่าน่าจะได้ใช้กันดีกว่า

อย่างแรกคือ ‘Info’ ที่จะสามารถแสดงสถานะของเครื่องขณะเล่นเกมอยู่ได้ ว่าตอนนี้เล่นอยู่ที่ FPS เท่าไหร่, เวลาตอนนี้กี่โมงแล้ว, อินเทอร์เน็ตตอนนี้ดาวน์โหลดอยู่ที่เท่าไหร่, แบตเตอรี่กี่ % และตอนนี้เล่นไปกี่ชั่วโมงแล้ว ซึ่งเหมาะมากกับการมอนิเตอร์เกมที่เราเล่นอยู่ เฟรมตกคือรู้แน่นอน

ต่อมาคือการปรับตั้งค่าตัวเครื่อง ให้สามารถ Overclock เครื่องให้แรงขึ้น ผ่านโหมดตัวเครื่อง ‘Rise’ (แลกมากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นด้วย) และแสดงผล Clock Speed ที่เพิ่มขึ้นให้ดูเลยทีเดียว

นอกจากนั้นใน Game Space เรายังสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือน, สายเรียกเข้า, ถ่ายภาพ หรืออัดวิดีโอหน้าจอเกมที่เรากำลังเล่นอยู่ และลดความไวในการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้เช่นกัน

ฟีเจอร์ต่าง ๆ กดเปิดได้ในที่เดียวเลย !

และสุดท้ายที่น่าสนใจมาก ๆ และมาในสมาร์ตโฟนราคา 7,000 บาทนี้ด้วยก็คือ ‘Charge Bypass’ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเสียบสายชาร์จไว้ และใช้ไฟจากสายชาร์จโดยตรง ไม่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่เลย ซึ่งจะเหมาะกับการนั่งเล่นเกมนาน ๆ และเสียบชาร์จไปด้วย ให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลงนั่นเอง ซึ่งลองแล้วก็ได้ผลอยู่นะ

ส่วนการลงสนามจริง เราขอหยิบเกมที่คนจะเล่นกันมาก ๆ มาเป็นตัวอย่างในการรีวิวให้ทุกคนได้อ่านกันแล้วกัน !

RoV

ถ้าเป็นเกมมหาชนอย่าง RoV นั้น เราสามารถเล่นแบบปรับสุดทุกอย่างเท่าที่ตัวเครื่องสามารถตั้งค่าได้ คือ FPS สูง, ภาพ HD สูงมาก, การแสดงผล สูง และพาร์ทิเคิล สูงมาก ก็สามารถเล่น 60FPS ได้ค่อนข้างนิ่งมากเลยทีเดียว กล่าวคือเฟรมเรตโดยเฉลี่ยอาจจะสวิงระหว่าง 45-60 FPS แต่จากการเล่นมาหลายตา ก็พบว่าไม่ได้มีอาการหน่วง หรือแลคอะไรให้เห็นทั้งสิ้นเลย จะมีแค่ตัวเครื่องที่อุ่นนิดหน่อยเท่านั้น

Genshin Impact

ในความเป็นจริงนั้น เกม Genshin Impact ถือเป็นเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องค่อนข้างสูงมาก การจะเล่นในสมาร์ตโฟนระดับกลางค่อนเริ่มต้นแบบนี้อาจจะเป็นการยากไปสักเล็กน้อย แต่จากการลองทดสอบเล่นมาก็พบว่า ถ้าปรับการตั้งค่าอยู่ที่ ระดับต่ำ (30 FPS) ก็จะทำให้ได้อรรถรสในการเล่นที่ดีที่สุด แม้ว่าจะมีการกระตุกบ้างเล็กน้อยก็ตาม

Honkai : Star Rail

ในขณะที่เกมน้องรางดาว (Honkai : Star Rail) นั้นจะให้ประสบการณ์ที่ค่อนข้างดีกว่าเล็กน้อย แต่ว่าถ้าอยากจะสามารถเล่นได้แบบไม่กระตุกจนหงุดหงิด ก็อยากแนะนำให้ตั้งค่ากราฟิกที่ระดับกลาง (30 FPS) จะทำให้เล่นได้ 30FPS นิ่ง ๆ และให้ประสบการณ์การเล่นได้ดีที่สุดครับ

Harry Potter: Magic Awakened

ในขณะที่เกมมือถือมาใหม่แกะกล่องอย่าง Harry Potter: Magic Awakened นั้นจะสามารถตั้งค่าได้ที่ ‘Best’ เลย ก็ยังสามารถพอจะเล่นได้อยู่นะ ! แต่ก็จะสามารถเล่นได้ที่ประมาณ 30 – 45 FPS แล้วแต่สถานการณ์ แต่ก็ไม่กระตุกมากจนเล่นไม่ไหวนะ

PUBG Mobile

อีกเกมยอดฮิตในสมาร์ตโฟนอย่าง PUBG Mobile นั้น สามารถตั้งค่าได้สูงสุดที่ HDR (ยังไม่รองรับคุณภาพที่สูงกว่านั้น) และตั้งเฟรมเรตไว้ที่สูงสุด และสามารถเล่นได้ที่ 40FPS (โดยไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้) เหมือนโดนล็อกเฟรมไว้ แต่จัดว่าเล่นได้เลยทีเดียว ติดที่ว่าตัวเครื่องก็แอบร้อนเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งจากที่เราลองเล่นมาถึง 5 เกมนี้แล้ว ก็ได้พบว่า โดยตัวเครื่องของมันนั้นมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าสมาร์ตโฟนในเรตราคาใกล้ ๆ กันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซอฟต์แวร์ ‘Game Space’ ที่ครอบทับมา ที่สามารถทำได้หลายอย่างมาก ๆ ทำให้การเล่นเกมของเราสนุกมากขึ้นเยอะเลยด้วย

ถ้ามองเรื่องของประสิทธิภาพ แม้ตัวเครื่องอาจจะไม่ได้แรงเว่อวังจนเหมือนกับ ‘สมาร์ตโฟนเกมมิงอื่น ๆ’ ที่สเปกมาแบบเรือธงใส่เต็มทุกจุด แต่ nubia Neo 5G ก็เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิ่งตัวประหยัดที่น่าสนใจอีกรุ่นเหมือนกันนะ

หน้าจอ

นอกจากเรื่องของประสิทธิภาพแล้ว เรื่องของจอที่ใช้เล่นเกมก็สำคัญไม่แพ้กัน โดย nubia Neo 5G มีหน้าจอเป็นแบบ IPS LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2408×1080) อัตราส่วน 20:9 รีเฟรชเรต 120Hz ที่มีการวางกล้องหน้าแบบหยดน้ำตรงกลางบนของหน้าจอ ซึ่งเอาจริง ๆ ถือว่าให้มาขนาดใหญ่สะใจอยู่สำหรับการเล่นเกม และแม้จะเป็นจอ IPS LCD แต่ก็ได้ให้สีมาในระดับที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว การทัชหน้าจอจัดว่าลื่นไหล และไม่มีปัญหาในการใช้งานทั่วไปแน่นอน

จะติดก็ตรงที่ความสว่างของหน้าจอที่อาจจะไม่ได้มากเท่าจอแบบ OLED แต่ถือว่าให้มาได้มากพอที่จะนำมาใช้เล่นเกมที่บ้านได้แบบชิว ๆ แต่ถ้าออกนอกบ้านอาจจะไม่ได้สู้แสงมากนักนะครับ

เสียง

เรื่องเสียงของ nubia Neo 5G นั้นแม้ภายนอกอาจจะไม่ได้จัดมาเต็มมาก ด้วยการที่ใช้แค่ลำโพงเดี่ยว กับเสียงของลำโพงที่ไม่ได้ให้เสียงเบส หรือความละเอียดที่มากนัก แต่ก็ให้เสียงที่ดังดีนะ ! นอกจากนั้น ถ้าอยากให้ได้อรรถรสในการเล่นเกมที่ดี แนะนำให้เชื่อมต่อหูฟังผ่านช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรได้ และยังรองรับระบบเสียงแบบ DTS:X Ultra รอบทิศทาง ทำให้ได้ใช้เทคโนโลยีเสียง Immersive Audio ในการเล่นเกมให้สมจริงมากขึ้นได้ด้วย

ส่วนการเชื่อมต่อ Bluetooth ก็รองรับ Codec ครบถ้วนพอจะใช้งานได้เหมือนกัน ทั้ง SBC, AAC, aptX, aptX HD, aptX Adaptive, aptX TWS+, LDAC และ LC3 ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ครบมาก ๆ สำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้ ผู้เขียนแอบแนะนำให้เล่นเกมผ่านการต่อหูฟังหรือบลูทูทนะครับ จะให้อรรถรสในการเล่นที่ดีมาก ๆ แน่นอน

กล้องถ่ายภาพ

ทุกทีเวลาเรารีวิวสมาร์ตโฟนเกมมิง สิ่งที่จะเป็นจุดอ่อนอยู่เสมอคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพนี่แหละ ! (ปกติเกมเมอร์ไม่เน้นถ่ายรูปเท่าเล่นเกมนี่นา) nubia Neo 5G เองก็ให้กล้องที่อาจจะใช้คำว่าไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่อยู่ในระดับพอใช้ไปถ่ายรูปเล่นได้แน่นอน ด้วยเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพหลัก Samsung ISOCELL JN1 ขนาด 50 ล้านพิกเซล f/1.8 และกล้องวัดระยะถ่ายภาพบุคคลขนาด 2 ล้านพิกเซล f/2.4 รวมเป็นกล้องหลัง 2 ตัวนะครับ (อีกตัวคือดีไซน์เฉย ๆ อย่างที่เคยบอก) ซึ่งเอาจริง ๆ ก็สามารถใช้ถ่ายภาพเล่น ๆ ได้อยู่เช่นกัน ที่น่าแปลกใจคือชัตเตอร์ของแอปฯกล้องถ่ายภาพนั้นทำได้เร็วมากครับ (แต่บางภาพก็อาจจะหลุดโฟกัสไปได้) แม้สีจะไม่ได้มีความสดมากนัก แต่ด้วยเซนเซอร์ใหม่ของซัมซุงนี้ ก็ทำให้ภาพที่ถ่ายได้นั้น เก็บรายละเอียดได้โอเคไปด้วย ส่วนเรื่องสีแนะนำให้ลองไปแต่งต่อดูน่าจะดีกว่าครับ ส่วนกล้องหน้าก็ได้ให้ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ที่แม้จะดูไม่เยอะ แต่ก็พอใช้งานทั่วไป หรือไลฟ์สตรีมเกมเราได้อยู่นะ (ตัวอย่างภาพอยู่ภาพสุดท้ายนะ)

ส่วนการถ่ายภาพซูมสามารถซูมได้สูงสุดที่ 10 เท่าครับ แต่จะเป็นการครอปภาพจากเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพหลักล้วน ๆ ทำให้ระยะหวังผลอยู่ที่ 2 เท่าเท่านั้น

แบตเตอรี่ ความร้อน

เรื่องแบตเตอรี่เองก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับสมาร์ตโฟนเล่นเกมนะครับ nubia Neo 5G เครื่องนี้ได้ให้แบตเตอรี่มาที่ขนาด 4,500 มิลลิแอมป์ ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนต้องยอมรับเลยว่าให้มาค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว แถมความร้อนก็จัดการได้ยังไม่ได้ดีมากนัก เครื่องแอบร้อนเร็วเวลาเล่นเกม เช่นถ้าเข้าไปเล่น PUBG Mobile กว่าจะจบ 1 เกมได้ เครื่องก็เริ่มอุ่นพอสมควรแล้ว ซึ่งความร้อนมาก ๆ ทำให้แบตเตอรี่ลดเร็วลงไปด้วยนะ ! จากการที่ได้ลองเล่นเกมมา ถ้าเล่น PUBG Mobile จบ 1 เกม แบตเตอรี่จะลดไปประมาณ 10% ได้เลย ดังนั้นถ้าเล่นแบบเสียบสายชาร์จ bypass ไว้ จะแก้ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ไปได้ครับ

แต่อย่างน้อย nubia Neo 5G ก็ยังให้ระบบชาร์จเป็นระบบชาร์จเร็ว 22.5 วัตต์ ซึ่งนอกจากจะมีแถมมาให้ในกล่องแล้ว ยังสามารถใช้หัวชาร์จที่รองรับการชาร์จ QC 3.0 หรือ PD มาชาร์จก็ได้เช่นกัน ถือว่าสะดวกใช้ได้เลยทีเดียว

บทสรุปส่งท้าย

สุดท้ายแล้ว nubia Neo 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงระดับเริ่มต้น ในเวลาที่สมาร์ตโฟนเกมมิงอยู่ในระดับราคาที่สูงเกินจะเอื้อม ซึ่งทำให้ nuibia Neo 5G เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่น่าสนใจ หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนเกมมิงที่ราคาประหยัด เข้าถึงได้ ใช้ 5G ได้ แถมยังมีระบบที่เหมาะกับเกมเมอร์เช่น Charge Bypass ซึ่งสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้มักจะไม่เจอกันอีกด้วยนะ จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แอบหลุดโฟกัสง่าย และเรื่องของแบตเตอรี่ที่อาจจะให้มาน้อยไปสักหน่อย และชาร์จช้าไปนิด แต่ด้วยราคา 6,999 บาท แถมยังมีจัดโปรลดราคาเพิ่มได้เรื่อย ๆ อีก ! nubia Neo 5G คืออีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ใครที่สนใจใน nubia Neo 5G เครื่องนี้ สามารถตามไปซื้อได้ที่ Shopee Official ของ Redmagic เลย !

The post รีวิว nubia Neo 5G : สมาร์ตโฟนเกมมิง 5G ราคา 7,000 บาทเล่นเกมอะไรได้บ้าง ? appeared first on #beartai.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า