Dragon Quest Monsters: The Dark Prince
จุดเด่น
เกมเพลย์แนว RPG ที่ปรับให้ลื่นไหลไม่เชย
ระบบผสมมอนสเตอร์ที่ผสมได้หลากหลาย
จุดสังเกต
กราฟิกธรรมดาไปหน่อย
8.5

สำหรับแฟนเกมรุ่นเก่าคงจะรู้จักซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ตำนานแนวเทิร์นเบส RPG ที่วางขายตั้งแต่ยุค 80S และยังคงสานต่อจนถึงปัจจุบัน และนอกจากภาคหลักแล้วยังมาพร้อมภาคแยกที่เปลี่ยนไปหลากหลายแนว ไม่วาจะเป็นแอ็กชัน RPG หรือแนวจับมอนสเตอร์มาสู้กัน ซึ่งก็คือ ‘Dragon Quest Monsters’ ที่เพิ่งจะครบรอบ 25 ปีที่วางขายไป

โดยซีรีส์ ‘Dragon Quest Monsters’ เป็นการผสมผสานระหว่างแนว เทิร์นเบส RPG กับแนวจับตัวมอนสเตอร์มาต่อสู้กันคล้ายกับ ‘Pokemon’ แต่ทีมงานได้สร้างความแตกต่าง และใส่ความโดดเด่นของเหล่ามอนสเตอร์และตัวละครที่ออกแบบโดย อากิระ โทริยามะ (Akira Toriyama) ทำให้มันได้รับความนิยมและสร้างออกมาหลายภาค และเกือบทั้งหมดออกบนคอนโซลแบบพกพา

ส่วนภาค ‘Dragon Quest Monsters: The Dark Prince’ ออกวางขายบน Nintendo Switch ที่เรื่องราวจะเล่าผ่านตัวละครหลักอย่าง “Psaro” เจ้าชายครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ที่หลังจากเขาได้ออกมาท้าทายพ่อของเขาที่เป็นราชาปีศาจผู้โหดร้าย ทำให้เขาถูกลงโทษด้วยการสาปให้เขาไม่สามาถต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้อีกต่อไป และเนรเทศเขาไปยัง Terrestria ทำให้ “Psaro” ต้องหาทางถอนคำสาปนี้

กราฟิกไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่เลวร้าย

เชื่อว่าในตอนแรกที่เกมประกาศลงเฉพาะ Nintendo Switch แฟน ๆ ส่วนใหญ่ก็ทำใจว่ากราฟิกในเกมจะย้อนยุคไปไกล ยิ่งซีรีส์ ‘Dragon Quest Monsters’ ไม่เน้นกราฟิกอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ความคาดหวังลดลงไปอีก ซึ่งหากคุณตัดสินแค่ตัวอย่างที่ปล่อยออกมาคงจะเห็นว่ามันธรรมดามาก เหมือนเกมสมัย PS2 ที่มีความคมชัดมากกว่า แต่พอได้สัมผัสตัวเกมจริง ๆ ถือว่าไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

เพราะว่านอกรายละเอียดของฉากถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง ตัวละครก็คงมีความเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ได้ดี ส่วนเฟรมเรตอยู่ระดับกลาง ๆ หากมีฉากกว้าง ๆ ก็จะมีอาการกระตุกให้เห็น ซึ่งอยู่ในระดับที่พอรับได้ แต่ส่วนที่ดีที่สุดคือดนตรีประกอบที่รวมเพลงคลาสสิกของซีรีส์ ‘Dragon Quest’ หลายภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นผลงานของ โคอิจิ ซูงิยามะ (Koichi Sugiyama) ผู้ล่วงลับ และยังมีการลงทุนใส่เสียงพากย์เข้ามาด้วยทำให้มันไม่เชยจนเกินไป

เกมเพลย์เทิร์นเบส RPG แบบคลาสสิก

รูปแบบการเล่นหลัก ๆ จะเหมือนกับ ‘Dragon Quest’ ภาคหลักที่จะนำเสนอในรูปแบบ เทิร์นเบส RPG แบบใส่คำสั่งที่เข้าใจง่าย จะมีการตัดเข้าฉากต่อสู้และต้องเลือกคำสั่งเพื่อโจมตี แต่จะเห็นศัตรูเป็นตัวบนฉากไม่ได้เจอแบบสุ่ม ส่วนระบบต่อสู้จะสามารถเลือกได้ว่าจะให้มันโจมตีตามกลยุทธแผนการรบที่เรากำหนด หรือจะลงลึกสั่งการแบบละเอียดก็ทำได้ แต่ตัวละครหลักจะไม่สามารถสู้กับมอนสเตอร์ได้โดนตรงเพราะโดนคำสาป

ฟังดูเชยเพราะเกมเพลย์แบบนี้ดูช้าไปแล้ว แต่ผู้สร้างได้เสริมโหมดมากมายไม่ว่าจะเป็นการปรับความเร็วในการเล่นได้ และยังมีระบบโจมตีแบบอัตโนมัติได้ด้วยทำให้การเล่นรวดเร็วมาก ๆ เอามาเล่นในยุคนี้ก็ดูไม่เชย และไม่ต้องเดาเนื้อเรื่องหลักให้ปวดหัวเพราะมีจุดบนแผนที่บอกว่าเราต้องไปทำอะไรที่ไหนตลอดการเล่น

ส่วนฉากในเกมจะมีความหลากหลายเพราะตัวเอกจะได้ท่องไปในหลายดินแดนที่มีความแตกต่างทางภูมิประเทศ ที่มีความลับซ่อนอยู่มากมายแต่ไม่ต้องกลัวว่าต้องเดินทางไปมาที่ใช้เวลานานจนน่าเบื่อ เพราะเกมมีการใช้คาถาเพื่อวาร์ปไปตามจุดที่เคยไปมาแล้วได้ รวมทั้งระบบอาวุธที่ย่อให้เหลือแค่เครื่องประดับชิ้นเดียวทำให้ง่ายในการตั้งค่า ส่งผลให้การเล่นรวดเร็วลื่นไหลถือว่าผู้สร้างปรับให้เข้ากับยุคสมัยแล้ว

เอามอนสเตอร์เป็นพวกแล้วใช้ต่อสู้

จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการนำตัวมอนสเตอร์มาเป็นพวกและใช้งาน ซึ่งการจับก็ไม่ยุ่งยากเพราะไม่ต้องใช้ไอเทมอะไรมากมาย แต่ปราบพยศนั้นไม่ง่าย ๆ เพราะต้องใช้พลังของเพื่อนร่วมทีมและยังเสริมด้วยการให้อาหาร และเมื่อได้มาเป็นพวกก็จะนำมาอัปเกรดตัวละครผ่านระบบเลเวลแบบเกม RPG ทั่วไป และเมื่ออัปเกรดถึงเลเวล 10 แล้วเราจะพบความสนุกที่ทำให้อยู่กับเกมได้นานมาก

ระบบนั้นก็คือการนำตัวมอนสเตอร์มารวมร่างกัน ที่ผู้เล่นสามารถจับคู่ตัวที่เรามีมายำรวมกันจนเกิดเป็นตัวใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อรวมกันแล้วเลเวลจะกลับไปเริ่มนับ 1 ใหม่ ซึ่งมีข้อดีเพราะเราจะได้อัปเกรดตัวใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้มีการใช้คะแนน Talent ที่ได้มาจากการอัปเลเวลเพื่อเพิ่มสกิลใหม่ เพิ่มท่าไม้ตายใหม่ รวมทั้งเวทมนตร์ใหม่ ๆ และเมื่อผสมหลายรอบเอาความสามารถมายำรวมกันจนได้มอนสเตอร์เทพ ๆ ได้ ถือเป็นจุดเด่นและทำให้เราสนุกไปกับมันได้ยาวนาน

และหนึ่งในภารกิจหลักนอกจากตะลุยดันเจี้ยนต่อสู้กับบอสแล้ว ยังมีการต่อสู้ในลานประลอง ที่จะแบ่งตามเกรดของมอนสเตอร์ที่เรามี ซึ่งในลานประลองจะไม่สามารถสั่งการมอนสเตอร์ของเราได้ละเอียด ทำให้มีความท้าทายและต้องจัดตัวให้ดีกว่าการต่อสู้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีโหมดออนไลน์มาให้เราเล่นกับเพื่อนรวมทั้งแลกเปลี่ยนตัวมอนสเตอร์กับเพื่อนได้ด้วย

สำหรับ ‘Dragon Quest Monsters: The Dark Prince’ ถือว่าเป็นการกลับมาของภาคแยกของซีรีส์ในตำนานที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด แม้ว่ากราฟิกอาจจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่เกมเพลย์ทำออกมาได้ดีเข้าใจง่าย มีอะไรให้ทำมากมายโดยเฉพาะการรวมร่างมอนสเตอร์ที่ทำให้เราอยู่กับเกมได้นาน ใครเป็นแฟนซีรีส์นี้มายาวนานก็ไปหามาเล่นได้เลย และหากคุณไม่เคยเล่นมาก่อนจะเริ่มกับภาคนี้ถือว่าเหมาะสมมากเพราะมีการระบบปรับให้ทันสมัยขึ้นแล้ว

The post [รีวิวเกม] ‘Dragon Quest Monsters: The Dark Prince’ ไล่จับมอนสเตอร์ในโลกของเกม RPG appeared first on #beartai.

You may have missed

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า