REVIEW | รีวิว Galaxy Watch 6 ตรวจสุขภาพได้เก่งรอบด้าน แถมดีไซน์พรีเมียม บางเบา น่าใส่
REVIEW Samsung Galaxy Watch 6 สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่เอาใจคนรักสุขภาพเน้น ๆ เป็นนาฬิกาอีกหนึ่งตัวที่เพิ่งปล่อยมาสด ๆ ร้อน ๆ จากทาง Samsung โดยคราวนี้กลับมาอย่างอลังการ ด้วยจอที่อัปเกรดใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ใช้งานได้จุใจ ทั้งถ่ายรูป โทรเข้าออก เช็คสุขภาพ หรือใส่แบบเท่ ๆ ก็ยังได้ เชิญพบกับรีวิวฉบับเต็มได้เลยว่าจะน่าใช้สักแค่ไหน
ดีไซน์พรีเมียม เรียบแต่หรู
การดีไซน์ของ Galaxy Watch 6 ที่เรานำมารีวิวจะเป็นตัวเครื่องสีดำโทน Graphite ดูทรงกลม ซึ่งตอนจับให้ความรู้สึกดูพรีเมียมแบบไม่จกตา บอกได้เลยว่าเรียบแต่หรู แฝงความมินิมอลไม่น้อย โดยหน้าปัด Galaxy Watch 6 จะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 20% และบางลง 30% ทำให้ปรับแต่งได้ง่าย
และยังมีให้เพื่อน ๆ ได้เลือกกันถึง 2 ขนาด ก็คือหน้าปัดขนาด 40 มม. ความละเอียดจอ 432 x 432 พิกเซล มีให้เลือก 2 สี คือ Graphite และ Gold ส่วนตัวหน้าปัดขนาด 44 มม. ความละเอียด 480 x 480 พิกเซล มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี คือ Graphite และ Silver
ถ้าได้ใส่จะรู้สึกเลยว่าตัวนาฬิกาค่อนข้างมีน้ำหนักพอตัว ไม่ได้บางเบาเหมือนไม่ได้ใส่ขนาดนั้น สามารถใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ใส่ไปนาน ๆ ก็ไม่เมื่อยเลยค่ะ แนะนำให้ใส่พอดีกับข้อมือ ไม่แน่นจนเกินไปหรือแกว่งไปมา
ด้านสายรัดที่เราเอามาใช้จะเป็นสายพิเศษ เราเลือกใช้สายนาฬิกาหนังแบบ Hybrid Eco-Leather รุ่นใหม่ จะมีความกลวงออก ให้ความคลาสสิก และสปอร์ตเอามาก ๆ แถมยังทนเหงื่ออีกด้วย
ส่วนขอบเรือนด้านขวามีปุ่มให้กดใช้งานถึง 2 ปุ่ม คือ ปุ่มโฮมและปุ่มย้อนกลับ และยังสามารถกดเข้าเมนูต่าง ๆ เพื่อเข้าโหมดการแจ้งเตือนสุขภาพ หรือปุ่มลัดเข้าฟีเจอร์อื่นเพิ่มเติมได้
หน้าจอใหญ่ สวยงาม คมชัด ปัดง่าย
รุ่น Watch 6 วัสดุทำมาจากอะลูมิเนียมขนาด 40 มม. AMOLED 1.31 นิ้ว เป็นหน้าจอแสดงผล AMOLED ใช้วัสดุกระจก Sapphire Glass ทำให้ทนต่อแรงขีดข่วนได้มากกว่าเดิม ซึ่งตัวเรือนมาพร้อมมาตรฐานทนน้ำ ทนฝุ่นระดับ IP68 สูงสุดที่ระดับ ATM 5
โดยตัวเรือน Watch6 ซีรีส์มาตรฐาน จะมาพร้อมกับน้ำหนักที่เบากว่า Watch5 Pro ถึง 28% และเมื่อเทียบกับรุ่น Watch6 Classic แล้วจะเบากว่าถึง 40% เลยทีเดียว เรียกว่าพื้นที่ในการแสดงผลมีความใหญ่ดูง่าย ให้รายละเอียดที่ชัดเจนทุกแอป ทุกการแจ้งเตือน ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมองไม่เห็นอะไร แถมหน้าจอยังสู้แดดด้วย ทำออกมาได้เยี่ยมเลย
การควบคุม
- เมื่อปัด ขึ้น-ลง สามารถเลือกควบคุมการตั้งค่าและโหมดต่าง ๆ ใน Galaxy Watch 6 ได้ เช่น ไฟฉาย, ความสว่างจอ, การสั่น, การเปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่, โหมดการนอน, การกันน้ำ, โหมดภาพยนตร์ และเพิ่มเสียง – ลดเสียง เป็นต้น
- เมื่อปัด ซ้าย-ขวา สามารถดูข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงสภาพอากาศ และโหมดเลือกฟังเพลง โหมดออกกำลังกาย การนับก้าว หรือรายชื่อติดต่อ รวมไปถึงกิจกรรม ปฏิทิน การหายใจ หรือรายการสิ่งที่ต้องทำ เป็นต้น
- เมื่อกด ปุ่มเม็ดมะยมด้านขวา มีปุ่มล่างและบน โดยปุ่มบนจะกลับมาที่หน้าจอหลัก สามารถดูการตั้งค่าต่าง ๆ ได้ทั้งหมดอย่างละเอียด ส่วนปุ่มล่างเป็นการย้อนกลับ
- กดค้างที่หน้าจอ เป็นการเปลี่ยนสไตล์หน้าปัด
เชื่อมต่อการใช้งานคู่กับ GALAXY WATCH 6
อันดับแรกให้เพื่อน ๆ ทำการติดตั้งแอป Samsung Wearable สามารถใช้งานฟีเจอร์ได้ครบเหมือนกับที่ใช้บนมือถือ Galaxy ส่วนการซิงค์ข้อมูลนั้นก็ต้องลงแอป Samsung Health เพิ่มมาอีกตัวด้วยนะคะ
การใช้งาน Galaxy Watch ให้เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ในครั้งแรกพร้อมใส่รหัสเพื่อทำการ Pairing ก่อนนะทุกคน
พอเชื่อมต่อได้แล้วก็มาถึงการตั้งค่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทร/รับสาย การเปิดแจ้งเตือนจากแอปต่างๆ ว่าจะให้แสดงผลแบบไหนตัว Galaxy Watch เราสามารถเลือกเปิด/ปิดได้ตามใจชอบ และภายในแอป Samsung Health มีการบันทึกข้อมูลให้เราในด้านต่าง ๆ อาทิ การใช้งานในแต่ละวัน แอปเสริม แบตเตอรี่
- บันทึกการออกกำลังกาย
- การนับก้าว
- การเดิน
- การวิ่ง
- อาหาร
- การนอนหลับ
- ส่วนประกอบของร่างกาย
- การดื่มน้ำ
- Together ประมวลผลสุขภาพ
- ความแข็งแรง
- หน้าส่วนตัว สถิติ สรุปประจำสัปดาห์
- อัตราการเต้นของหัวใจ
- ความเครียด
- SpO2 ออกซิเจนในเลือด
- ติดตามรอบเดือนของผู้หญิง
หน้าปัดปรับแต่งได้มากกว่า 100 สไตล์
สำหรับ Galaxy wearable จะมีหน้าปัดนาฬิกาใหม่ ๆ ให้เราได้เลือกสรร นอกจากจะเอาไว้ติดตามข้อมูลสุขภาพแล้ว ยังมีฟีเจอร์เปลี่ยนหน้าจอหลักได้ หรือเมนู Watch faces ช่วยให้เราเลือกหน้าปัดนาฬิกาได้แบบไม่ซ้ำใคร ถูกใจสายขี้เบื่อ ไม่ว่าจะปรับแต่งให้ดูเท่ ดูหวาน หรือเน้นอ่านข้อมูลสุขภาพก็มีให้เพียบกว่า 100 แบบ
แถมยังตั้งค่ารูปภาพในเครื่องมาเปลี่ยนเป็นหน้าจอได้ด้วยนะ มีให้ดาวน์โหลดทั้งฟรีและเสียเงิน ซื้อได้โดยตรงจากแอปเลย
โหมดออกกำลังกายจัดจ้าน 90 แบบ
Galaxy Watch ให้ฟีเจอร์ออกกำลังกายมาได้แบบครบทุกหมวดถึง 90 แบบ แถมยังมีการแจ้งเตือนระหว่างวัน หากเรานิ่งหรือนั่งอยู่เฉยๆ นานเกินไป เพื่อป้องกันการเป็นโรค Office Symdrom ด้วยค่ะ
และยังติดตามข้อมูลกีฬาได้แบบเรียลไทม์ มีโหมด Tracking ต่าง ๆ ให้เลือกเยอะ ทั้งการคำนวณค่าต่าง ๆ ในการทำกิจกรรม การเดิน นับจำนวนก้าว
ยกตัวอย่าง เดิน, ปั่นจักรยาน, วิ่ง, ว่ายน้ำ, กอล์ฟ, แบดมินตัน และการกระโดดเชือก เป็นต้น ซึ่งภายในยังมีระบบแจ้งเตือนหากหัวใจเต้นเร็วเกินไปด้วย รวมไปถึงการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดออกซิเจนในเลือด, วัดความดันโลหิต, เซ็นเซอร์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และเซ็นเซอร์การวิเคราะห์ Bioelectrical Impedance (BIA) และมีเซนเซอร์อินฟาเรด ใช้ตรวจจับอุณภูมิได้ สายออกกำลังกายก็จะมีโหมด Tracking ต่าง ๆ ให้เลือกเยอะมาก
ฟีเจอร์สุขภาพเน้น ๆ
เราจะพามาดูการวัดค่าต่าง ๆ ของ Galaxy Watch 6 ว่าจะมีหน้าตาแบบไหน ซึ่งฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม, เซ็นเซอร์ชีวภาพติดตามสุขภาพและสุขภาวะ Bioactive, เซ็นเซอร์วัดชีพจร ที่สามารถตั้งค่า Heart Rate Zone ได้ตามที่ต้องการด้วย
ตรวจจับการนอนหลับ เรียกว่าเป็นการติดตามร่างกายในแต่ละวันว่าเรานอนหลับอย่างไร ทั้งระยะการนอน, การงีบ ได้ครบเป้าหมายตามที่หวังไว้มั้ยใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เป็นต้น แบ่งเป็น Deep Sleep/Light Sleep/ REM/ Awake หรือการนอนหลับไม่สนิท กระสับกระส่าย
เหมาะกับคนที่มีปัญหาด้านการนอน นอนหลับไม่สนิท / รู้สึกนอนพักผ่อนไม่เพียงพอไม่ว่าจะนอนนานแค่ไหน รวมถึงการปวดหัวหลังตื่นนอน ก็สามารถสวม Galaxy Watch ไว้ อย่างน้อยก็จะไดรู้ว่าเมื่อคืนนอนไม่ดีหรือไม่ดี จะได้ปรับพฤติกรรมการนอนของตัวเอง อีกอย่างที่น่ารักมากในแอป Samsung Health ยังมี Sleep Coaching ที่บ่งบอกด้วยว่าการนอนของเราเหมือนสัตว์ประเภทไหน เช่น ฉลาม จระเข้ แมวน้ำ เพนกวิน กวาง เม่น และสิงโต เป็นต้น
ส่วนของเรายังไม่ได้ค่ะ มีปัญหาเล็กน้อย เดี๋ยวจะมาอัปเดตให้ภายหลังว่าได้ตัวอะไรกันแน่
ตรวจจับออกซิเจนในเลือด SpO2 ด้วยฟีเจอร์นี้เหมาะอย่างมากกับผู้สูงอายุ หรือคนที่มีโรคประจำตัว โรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการกรน อาจทำให้เกิดการหยุดหายใจระหว่างหลับได้
ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นการแสดงผลอัตราการเต้นหัวใจของเราอยู่ที่ 81 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยปกติสำหรับการพัก เหมาะกับคนที่ต้องการตรวจสอบการเต้นของหัวใจเป็นพิเศษ ก็สามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเป็น Always ได้ เพื่อให้มีการตรวจจับอัตราการเต้นหัวใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะส่งผลกับอายุการใช้งานเครื่องในแต่ละวันด้วย
*โดยการเต้นของหัวใจ 1 ครั้ง จะมีการบีบตัวให้ เกิดแรงดันสูบฉีดเลืดดมาเลี้ยงร่างกาย โดยปกติค่าชีพจรจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้ง/นาที
- ค่าปกติไม่ควรเกิน 120 mmHg
- ค่าอยู่ระหว่าง 120 -139 mmHg แสดงว่าอยู่ในภาวะ Prehypertension มีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- ค่าอยู่ระหว่าง 140 – 159 mmHg แสดงว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ระดับ 1
- หากเกิน 160 mmHg แสดงว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ระดับ 2
ตรวจ ECG เรียกง่าย ๆ คือ การวัดความดัน จะช่วยให้เรารับรู้ได้ว่าตอนนี้ร่างกายที่กำลังรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นผิดปกติ หรือหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ นี่ใช่อาการไม่สบายหรืออะไรกันแน่ สามารถกดวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ภายใน 30 วิ บน Galaxy Watch และถ้าอาการยังไม่ดี สามารถกด SOS เพื่อโทรออกหาเบอร์ฉุกเฉินที่ตั้งไว้ได้ทันที หรือโทรหาผู้ปกครองให้มาช่วยเหลือเรานั่นเอง และถ้าเราเผลอเดินล้ม ตกบันได โดนชน หรืออื่น ๆ ที่เกิดการกระแทก เมื่อตรวจจับเจอ หากภายใน 1 นาที ไม่มีการตอบสนองกดยืนยันใน Watch ว่าเรายังโอเคอยู่ ก็จะทำการโทรออกเบอร์ SOS ที่ตั้งไว้ทันทีอัตโนมัติ เหมาะกับทุกวัย หรือให้พ่อแม่หรือผู้สูงอายุในบ้านใช้ เพราะอยู่ในวัยที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ จะได้ช่วยทันเวลา
*ข้อที่ควรรู้สำหรับใช้วัดความดัน
- ห้ามใช้แอปพลิเคชันนี้หากมีอายุน้อยกว่า 22 ปี
- แอปพลิเคชันวัดความดันโลหิต ไม่สามารถวินิจฉัยความดันโลหิตสูง หรือภาวะอื่น ๆ และตรวจหาสัญญาณของอาการหัวใจวายได้ เป็นแค่การวัดเบื้องต้นเท่านั้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ
- ถ้ามีอาการดังนี้ห้ามใช้ หากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ, มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย, มีโรคหลอดเลือดส่วนปลายหรือการไหลเวียนที่ถูกทำลาย, มีโรคลิ้นหัวใจ, โรคไตวาย, โรคเบาหวาน, ความผิดปกติทางระบบประสาท, มือสั่น เป็นต้น
ตรวจจับความเครียด เป็นการดูว่าในแต่ละวันสถานะอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร ความเครียดสูงมากน้อยแค่ไหน และถ้าสูงเกินไป ตัวแอปจะแนะนำให้เราหายใจลึก ๆ เพื่อลดความเครียด
ตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกาย เป็นการดูว่าค่าเฉลี่ยน้ำหนัก และไขมันในร่างกายสูงเกินไปหรือเปล่า เพื่อให้เราจัดการสมดุลสุขภาพ เพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงการได้สารอาหารที่ดีนั่นเอง
แต่ต้องบอกก่อนว่าข้อมูลในตัวนาฬิกาจะไม่ละเอียดเท่าบนมือถือนะคะ ยังไงก็ดีให้ Sync มาดูบนแอป Samsung Health จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าด้วย
การใช้งานทั่วไปที่น่าประทับใจ
ทางด้านการใช้งานทั่วไป ก็จะมีทั้งการเชื่อมต่อซิงก์ข้อมูลกับอุปกรณ์ Samsung, การแจ้งเตือนแอปต่าง ๆ เรียกว่าใช้งานแบบ Hands – Free ได้สบาย
การใช้งานเป็นรีโมทถ่ายรูป
ที่น่าสนใจ คือ เราใช้ Galaxy Watch Series เพื่อถ่ายรูประยะไกลได้ด้วย ใครที่เป็นสายเซลฟี่ ไปเที่ยวคาเฟ่คนเดียวก็เอาอยู่ แค่วางมือถือ Z Flip 5 /Z Fold5 ไว้บนโต๊ะหรือมุมที่ต้องการ จากนั้นก็หมุนหน้าปัดหรือใช้นิ้วกดซูมเข้าออก และกดถ่ายได้เลย
ใช้นาฬิกาส่งข้อความ + การแจ้งเตือน
ด้วยฟีเจอร์รับส่งข้อความของ Galaxy Watch สามารถตอบแชทได้ทันที ทั้งการพิมพ์ตอบ / เขียน แล้วแปลงเป็นตัวพิมพ์ หรือจะพูดแล้วแปลงเป็นตัวพิมพ์ Voice to text ได้อีกด้วยนะ เท่ไม่เบา อีกอย่าง Keyboard ที่ใช้จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ
- Samsung Keyboard ที่มากับเครื่อง สามารถพิมพ์ พูด เขียนได้ ฟังก์ชันครบทั้งไทย อังกฤษ และ Emoji แต่รูปแบบของแป้นพิมพ์จะพิมพ์ค่อนข้างยากค่ะ
- ส่วน G Board ฟังก์ชันครบเหมือนกัน และพิมพ์ง่ายกว่าเยอะ หาโหลดได้ใน Play store ใน Galaxy Watch เลย
และถ้าเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหยิบมือถือออกมาใช้ได้ เช่น อยู่ในห้องประชุม ก็แอบหยิบนาฬิกาขึ้นมาเช็ค Notification หรือ Reply ข้อความได้บน Galaxy Watch ที่สำคัญเรายังโหลด Party App ต่างๆ เข้ามาไว้ในเครื่องเพื่อให้ใช้ได้สะดวกสบายด้วยนะ
ใช้งานรับสาย + การแจ้งเตือน
ต้องบอกเลยว่าเราสามารถยกนาฬิกาขึ้นมารับสายด่วนได้ ถ้าเพื่อน ๆ กำลังยุ่งแล้วลืมมือถือไว้ที่โต๊ะ หรือกำลังเมาท์เพลินจนลืมว่าเคยมีมือถือ ก็ยังยก Galaxy Watch ขึ้นมารับสายสำคัญได้แบบไม่มีพลาด แถมนาฬิการุ่น LTE / ใส่ e-sim สามารถใช้แทนมือถือได้เลย ไม่ต้องพกมือถือใกล้ๆ เวลาไปออกกำลังกาย และไปธุระข้างนอกอีกด้วย
Fine My device ได้
ถ้าเพื่อน ๆ หามือถือไม่เจอ ยังกด Finf my device ให้โทรศัพท์ส่งเสียงเพื่อตามหาให้เจอได้ทันที ด้วยการใช้ Galaxy Watch และถ้าคนไหนเนี่ยเป็นคนขี้ลืมเอามาก ๆ บางทีลืมหูฟังไว้ ก็ยังมีฟีเจอร์ Find My Earbuds ได้จาก แอป Galaxy Wearable ด้วยนะ
การฟังเพลง
การฟังเพลงสามารถฟังได้ทั้งสตรีมมิ่งของ Spotify, YouTube Music และ iTunes music ได้อย่างเพลิดเพลิน จะออกไปเดินเล่นในห้าง หรือออกกำลังกายชิล ๆ ก็ยกขึ้นมาเปลี่ยนเพลงได้
แบตเตอรี่ถึก ทน นาน
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Galaxy Watch 6 เรียกว่าอยู่ได้นานเลยทีเดียว เพราะคราวนี้มากับแบตเตอรี่ที่ใหญ่ และใช้งานได้นานมากขึ้นสูงสุด 300mAh มากขึ้นกว่า Galaxy Watch5 ที่มีความจุแค่ 284mAh และในเรื่องการชาร์จใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่ 0-100% เต็มภายใน 1 ชั่วโมงนิด ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดก่อนแน่นอน
- ใช้ได้นาน 40 ชั่วโมง
- สามารถใช้งานได้ข้ามวันเมื่อชาร์จเต็ม
- ชาร์จไฟให้นาฬิกาแค่ 30 นาที ได้ 45 %
สเปค GALAXY WATCH 6
- จอแสดงผล : รุ่น 40 มม. AMOLED 1.31″ 432 x 432 พิกเซล
- วัสดุ : ตัวเรือน : อะลูมิเนียม, กระจกจอ: Sapphire Glass
- มาตรฐานความคงทน : IP68 / ATM5 / MIL-STD-810
- ชิปประมวลผล : Exynos W930
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3, Wi-Fi, GPS, NFC (มีรุ่น 4G ให้เลือก)
- แบตเตอรี่ : รุ่น 40 มม. 300 mAh
สรุปการใช้งาน GALAXY WATCH 6
Galaxy Watch เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมาก ทั้งในเรื่องของการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือเอาไปออกกำลังกาย และดูข้อมูลสุขภาพก็มีให้ครบแบบเหลือเฟือ จนเพื่อน ๆ หายห่วงไปได้เลย แทบจะเป็นมือถืออีกเครื่องได้เลยนะเนี่ย เพราะใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ติดต่อก็สะดวกดุจการมีมือถือไว้บนข้อมือ
แถมแบตยังมีการอัปเกรดให้ยาวนานกว่าเดิม ใช้ได้ข้ามวันไม่ต้องชาร์จไฟบ่อย แต่ว่าอันนี้ขึ้นอยู่กับเพื่อน ๆ บางคนนะคะ ถ้าใครชอบออกกำลังกายมากๆ หรือเปิดโหมดในการเล่นฟิตเนสเพื่อเก็บข้อมูลแบบละเอียดๆ อายุของแบตเตอรี่ก็จะลดลงไป อยู่ที่ว่าเราใช้งานหนักแค่ไหนในแต่ละวัน แต่ถ้าจะให้ชัวร์ ก็เปิดโหมดหน้าจอความสว่างปานกลาง และใช้โหมดประหยัดแบตเตอรี่ก็ได้
และยังสวมใส่ได้ทั้งวันทั้งคืนแบบไม่รู้สึกเกะกะ จะตื่นมาเช็คการแจ้งเตือน ใช้โทรกับรับ SMS ก็ยังทำได้ สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Galaxy Watch 6 เอาลงน้ำได้นะทุกคน ด้วยมาตรฐาน 5ATM ลงน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร สามารถใส่ว่ายน้ำได้แบบไม่กลัวพัง แต่ว่าน้ำในสระนะ อย่าเอาไปลงทะเลล่ะ
ราคาจำหน่าย
สำหรับใครที่สนใจ Samsung Galaxy Watch 6 Series หรือมองหาสมาร์ทวอทช์ที่ใส่แล้วเท่ ให้ฟีเจอร์สุขภาพได้เยอะแบบเน้น ๆ และตอบโจทย์ความบันเทิงได้ต้องตัวนี้เลยค่ะ คุ้มค่าตัว ราคาก็ถือว่าไม่แรงมากจนรับไม่ไหว
ส่วนรุ่นและราคาจำหน่าย ดังนี้ Galaxy Watch 6 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ดำ Graphite, เงิน Silver, ทอง Gold
- รุ่นหน้าปัด 40 มม. Bluetooth ราคา 9,900 บาท
- รุ่นหน้าปัด 44 มม. Bluetooth ราคา 11,900 บาท