Major Cineplex
สนับสนุนโดย Major Cineplex

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แฟรนไชส์หนังแอ็กชันผจญภัย อินเดียนา โจนส์ (Indiana Jones) นี่อยู่กับคนทุกยุคสมัยมากว่า 42 ปีแล้วนะครับ และที่สำคัญคือผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นไม่กี่แฟรนไชส์หนังในฮอลลีวูดที่ยังคงความคลาสสิกและกลิ่นอายแบบเดิม ๆ เอาไว้ได้ครบในทุกภาค ถ้าพูดในเชิงชื่นชมก็คือ เป็นแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งพอที่จะคงรูปแบบเดิมเอาไว้ ไม่พยายามเปลี่ยนโน่นนี่เอาใจตลาดจนเกินงาม ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะการวางรากฐานของเรื่องราวของ จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ในฐานะผู้ให้กำเนิดเรื่องราว สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ในฐานะผู้กำกับที่วางวิสัยทัศน์ให้กับหนังชุดนี้ และ แฮริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) นักแสดงที่รับบทอินดี้ได้อย่างชนิดที่หาคนอื่นแทนไม่ได้จริง ๆ

15 ปีนับจากภาคที่แล้ว ‘Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull’ (2008) เดินทางมาสู่ภาคที่ 5 ของแฟรนไชส์ใน ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ หรือ ‘อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา’ ซึ่งมาถึงภาคนี้ สปีลเบิร์กที่เคยกำกับ และสร้างภาพลักษณ์ของอินเดียนา โจนส์ 4 ภาคแรกในความทรงจำของแฟนหนังมาตลอด เลือกที่จะถอยไปนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ ส่งไม้ต่อให้กับผู้กำกับรุ่นใหม่ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) ผู้กำกับ ‘Ford v Ferrari’ (2019) และ ‘Logan’ (2017) ที่ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม มารับตำแหน่งกำกับแทน

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

ตัวหนังจะเล่าเรื่องใน 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกเกิดขึ้นในปี 1944 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียนา โจนส์ (แฮร์ริสัน ฟอร์ด – Harrison Ford) ในวัยหนุ่มแน่น (ด้วยงาน De-Aged ลดอายุ แล้วเอาไป Deepfake แปะหน้าตัวแสดงแทน) ต้องเข้าไปช่วยเพื่อนนักโบราณคดี เบซิล ชอว์ (โทบี โจนส์ – Toby Jones) ที่เทือกเขาแอลป์ ฝรั่งเศส และช่วงชิงเอา ทวนแห่งลองกินุส (Lance of Longinus) ที่เคยอาบพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จากกองทัพนาซีมาให้ได้ แต่ในระหว่างนั้น ทั้งอินดี้และเบซิลได้ค้นพบว่า นาซียังมีวัตถุโบราณที่เจ๋งกว่านั้นคือ กลไกแอนติไคเธอรา (Antikythera Mechanism) คิดค้นโดย อาร์คีมีดีส (Archimedes) ที่ เยอร์เกน วอลเลอร์ (แมดส์ มิคเคลเซน – Mads Mikkelsen) นักโบราณคดีของกองทัพนาซีครอบครองอยู่ เพราะเชื่อว่ากลไกนี้สามารถคำนวณหารอยแยกของกาลเวลา ที่สามารถพาผู้ครอบครองย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้

อีก 25 ปีต่อมา อินดี้กลายเป็นอาจารย์ด้านโบราณคดีวัยเกษียณที่งุ่มง่ามที่วางมือจากการผจญภัยไปแล้ว แถมยังเป็นคนแก่เชยสะบัดเบื่อโลกที่กำลังกลุ้ม ทั้งการหย่าร้างกับภรรยา แมเรียน เรเวนวูด (แคเรน อัลเลน – Karen Allen) เพราะเสียลูกชาย (มัตต์ วิลเลียม จากภาค 3) ในสงคราม และการที่สหรัฐอเมริกากำลังเห่อการปล่อยจรวดสู่ดวงจันทร์ วันหนึ่ง อินดี้ก็ได้พบกับ เฮเลนา ชอว์ (ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ – Phoebe Waller-Bridge) ลูกสาวของเบซิลที่อินดี้รับเป็นพ่อทูนหัวตั้งแต่อ้อนแต่ออก และได้รู้ว่าเธอเองก็สนใจและต้องการจะตามล่ากลไกนี้ด้วยเช่นกัน เธอจึงได้ชวนอินดี้ลากสังขารออกไปผจญภัยไขปริศนาเกี่ยวกับกลไกนี้ และได้พบเจอกับน้อง เท็ดดี คูมาร์ (อีธาน อีสิดอร์ – Ethann Isidore) เด็กชายคนสนิทของเฮเลนาที่ออกติดตามแบบบังเอิญ เพื่อยับยั้งไม่ให้เยอร์เกนใช้กลไกนี้ย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของนาซีในอดีต

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

แน่นอนว่า ด้วยความที่มันห่างจากภาคอื่น ๆ มาเกือบ 2 ทศวรรษ พอมาถึงภาคนี้ มันก็เลยมีความน่าห่วงในหลาย ๆ จุด ทั้งภาคที่แล้วที่โดนวิจารณ์พอสมควร ความสดใหม่ของเรื่องราว การเปลี่ยนมือผู้กำกับที่อาจจะเอาไม่อยู่กับหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ (ระดับสปีลเบิร์กเลยเชียวนะ) ที่ภาคนี้ใช้ทุนสร้างมากถึง 295 ล้านเหรียญ สูงที่สุดจากทุกภาค และสูงเป็นอันดับ 11 ของหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาล และสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ ลุงฟอร์ดที่เป็นหน้าตาของแฟรนไชส์นี้จะยังสู้ไหวไหมกับหนังแอ็กชันผจญภัย (เพราะภาคที่แล้วก็แอบเริ่มเห็นลุงเหนื่อย ๆ อยู่เหมือนกัน)

ซึ่งสิ่งที่จะว่ามันเป็นปัญหาหรือจุดแข็งก็ได้ของภาคนี้ก็คือ แม้จะมีความพยายามวางเรื่องราวใหม่ ๆ ขึ้นมา และพยายามเพิ่มอะไรที่ไม่เคยเพิ่มมาก่อนในภาคอื่น ๆ ทั้งงานสร้างที่ฟอร์มยักษ์ขึ้น อลังการขึ้น ใช้งานวิชวลเอฟเฟกต์หนักหน่วงกว่าทุกภาค รวมทั้งการเพิ่มฉากแอ็กชันที่เล่นใหญ่เร้าใจกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของภาคนี้เลยแหละ ที่แมนโกลด์สามารถทำฉากแนวไล่ล่าให้ออกมายิ่งใหญ่ ระทึกสมจริง ผสมผสานกับมุกสนุก ๆ ตามรายทาง แล้วพอในภาคนี้ด้วยความที่มันมาคาบเกี่ยวกับช่วงที่ปู่ฟอร์ดเองก็เข้าวัยชรา

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

แม้เบื้องหลังจะมีฉากที่ปู่เล่นแอ็กชันเอง แต่ตัวหนังก็เจ๋งตรงที่ไม่ได้พยายามจะบังคับให้ปู่ลากสังขารแอ็กชันอย่างเดียว แต่ใช้วิธีแบ่งพาร์ตเล่าเรื่องให้ปู่ฟอร์ดกลายเป็นอาจารย์วัยเกษียณเชย ๆ เน้นดราม่าตามวัย กับแสดงฉากแอ็กชันแบบที่ไม่ต้องลงแรงมาก ซึ่งเอาเข้าจริง คนวัย 82 ออกแรงได้ขนาดนั้นก็ถือว่าน่าทึ่งมาก ๆ แล้วล่ะ ส่วนพาร์ตในวัยหนุ่มที่ต้องแอ็กชันดุ ๆ ก็ให้สตันต์เล่นแทนไป ซึ่งแม้งานวิชวลทั้งการเนรมิตปู่ฟอร์ดวัยหนุ่ม รวมทั้งวิชวลจุดอื่น ๆ ในองก์แรกจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่แย่ ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นเร้าใจเกินคาด

อีกจุดที่ผู้เขียนมองว่าแปลกกว่าทุกภาค นั่นก็คือความพยายามจะผูกเนื้อเรื่องเข้ากับประวัติศาสตร์จริง ๆ เสียทีครับ เพราะภาคก่อน ๆ ทั้งสมบัติล้ำค่า และเกร็ดประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์จริง ๆ ในโลก ที่ล้วนถูกเล่าผ่านปากของอินดี้ในเชิง Trivia เฉย ๆ ที่เหลือก็เป็นพวกฉากแอ็กชันและการไขปริศนาเฉย ๆ แต่ภาคนี้ตัวหนังให้เวลาและดูใส่ใจกับการไขปริศนาในเชิงสืบสวนสอบสวนที่ร่วมสมัยกว่า และเป็นประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นหูคุ้นตาอยู่แล้ว โดยเฉพาะชื่อของอาร์คีมีดีส และกลไกแอนติไคเธอรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณทางดาราศาสตร์ที่มีการค้นพบจริง ๆ ทำให้ภาคนี้ดูมีความเป็นกึ่ง ๆ วิทยาการ ผสมวิทยาศาสตร์กว่าภาคก่อน ๆ ที่ดูไกลตัวมากกว่า

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

โดยเฉพาะในช่วงไคลแมกซ์องก์สุดท้าย ที่ปกติไคลแมกซ์ในแทบทุกภาค เรามักจะได้เห็นสมบัติล้ำค่าแผลงฤทธิ์เดชในช่วงสุดท้ายเสมอ ถ้าเป็นภาคอื่น เราก็จะได้เห็นตัวร้ายที่ละโมบโลภมากโดนฤทธิ์เดชของสิ่งล้ำค่า คร่าชีวิตให้ตายตกไปตามกรรม แต่ภาคนี้เลือกที่จะใช้วิธีโยงกลับไปหาประวัติศาสตร์ที่เป็นต้นกำเนิดของกลไกอันนี้แทน และเป็นเสมือนบทลงโทษของวายร้ายไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่แม้จะดูมีความ ‘โดเรมอน เดอะ มูฟวี่’ ไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็เป็นอะไรที่ผู้เขียนมองว่าแปลกดี แต่ก็มีข้อแม้อยู่ว่า การที่ตัวหนังตลอดทั้งเรื่อง พยายามชวนให้คนดูคิดต่อว่า กลไกโบราณมันจะพาย้อนเวลาได้จริง ๆ ไหม พอบทสรุปมันออกมาแนวนี้ ก็อาจทำให้หลายคนเหวอจนไม่ชอบไปเลยก็ได้

แต่เหนืออื่นใด ทั้งหมดทั้งมวลที่ผู้เขียนเล่ามา ถ้าเป็นเกมมันก็เหมือนการอัปเดต Patch ล่าสุดให้กับแฟรนไชส์นี้ให้มีความร่วมสมัยขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วในภาพรวมของหนังภาคนี้ก็ยังขาดความสดใหม่อย่างจริงจัง ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้เคยดูมาก่อน หนังเรื่องนี้มันก็สนุกในตัวมันเอง แต่ถ้าใครดูทุกภาคมาแล้วก็จะรู้สึกได้เลยว่า ตัวหนังเลือกที่จะหยิบขนบและสไตล์จากหนังภาคก่อน ๆ (รวมทั้งสไตล์แบบ ‘หนังสปีลเบิร์ก’) มาใช้ ตั้งแต่พล็อต การเล่าเรื่องที่คล้ายกันทุกภาค การมีเด็กร่วมผจญภัยด้วยก็ชวนให้นึกถึง ‘Indiana Jones and the Temple of Doom’ (1984) ฉากแอ็กชันที่แอบมีลูกล่อลูกชน มีความเหนือจริงนิด ๆ แบบสปีลเบิร์กในภาคเก่า ๆ ฉากการไล่ล่าของอินดี้กับนาซีที่เหมือนกันทุกภาค ต่างก็แค่พื้นที่และรูปแบบ รวมทั้งบทสรุปที่ใช้วิธีการเดิมเหมือนทุกภาค (และนาซีก็จะต้องร้ายและโลภแบบไม่มีเหตุผลเหมือนทุกภาคเช่นกัน)

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

แม้ตัวหนังจะพยายามเติมความอลังการด้านงานสร้างเข้ามา แต่ปัญหาของภาคนี้ โดยรวมก็คงปฏิเสธไม่ได้แหละว่า หลาย ๆ อย่างในหนังมันก็เชยจนไม่มีอะไรที่สดใหม่อย่างแท้จริงไปแล้ว ซึ่งแมนโกลด์เองก็รู้จุดนี้ดี เลยเลือกที่จะตั้งใจเดินตามกลิ่นอายดั้งเดิมแบบที่สปีลเบิร์กทำไว้แล้วไปให้สุดในฐานะหนังบล็อกบัสเตอร์ขายบันเทิง ขายความคลาสสิกด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกและดูได้เรื่อย ๆ (แม้ว่าจะเดาง่ายมาก และบางช่วงก็แอบเดินเรื่องช้า) ไปเลย หรือการสอดแทรก Easter Egg จากภาคเก่า ๆ ให้ได้อมยิ้ม การใส่สกอร์ฝีมือของ จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ที่ให้อารมณ์เดิม ๆ หวนกลับมา ในขณะที่แฟนใหม่ ๆ ก็ยังสามารถดูภาคนี้แบบสนุกและรู้เรื่องได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องดูภาคอื่นมาก่อน

ส่วนเรื่องของนักแสดง ก็เรียกได้ว่าไม่มีนักแสดงคนไหนที่ผิดหวังครับ ปู่ฟอร์ดยังคงวาดลวดลายการเป็นอินดี้ได้อย่างไว้ลาย คือปู่คงไม่ได้ฟิตอะไรขนาดนั้น แต่แค่ปู่แกเลือกใช้แส้จริงแทน CG และเห็นฉากที่ปู่ออกแอ็กชัน แค่นี้ก็ชวนให้ลืมอายุได้แล้วล่ะ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ทั้ง ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ ก็มีเสน่ห์ และคาแรกเตอร์ของเธอก็ทำให้ผู้หญิงมีความโดดเด่นและเป็นตัวหลักของภาคนี้ได้อย่างน่าสนใจ ส่วนน้องอีธาน อีสิดอร์ ก็ฉลาดเป็นกรดในแบบที่ดูไม่แก่แดดดี และลุงแมดส์ มิคเคลเซน ที่สวมบทนาซีได้น่ากลัวมาก สมกับเป็นวายร้ายของฮอลลีวูดจริง ๆ แม้ตอนท้ายจะดูมีความเป็นทหารนาซีคลั่ง ๆ ป่วย ๆ มากกว่าเท่เหมือนตอนเริ่มเรื่องก็ตามทีเถอะ

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

แม้หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้ดีที่สุดจากทุกภาค มีจุดที่ขัดใจอยู่พอควร แต่ภาคนี้ก็ถือว่าไม่แย่เลย มีฉากแอ็กชันที่มันมาก ฉากฮาก็ได้ยิ้ม มีฉากประทับใจซึ้ง ๆ ด้วย เป็นภาคที่แฟนหนังชุดนี้ดูสนุกแบบไม่ผิดหวัง ส่วนคนไม่ใช่แฟนก็ดูได้ รุ่นเก๋ารุ่นใหม่ดูได้หมดทั้งครอบครัว เป็นหนังบันเทิงแกล้มป๊อปคอร์นที่ไม่เสียดายค่าตั๋ว จุดที่อัปเกรดใหม่ในภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้เร้าใจเกินคาด แม้ตัวหนังจะไม่ค่อยสดใหม่เท่าไหร่นัก ซึ่งภาคนี้มันก็ฟ้องตัวเองชัดเจนแล้วแหละว่า แฟรนไชส์มันจบสมบูรณ์ในตัวเองไปเรียบร้อยและไม่น่ามีอะไรใหม่ไปกว่านี้อีกแล้ว ส่วนปู่ฟอร์ดเองก็ถือว่าทิ้งทวนปิดตำนานในภาคนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแล้วล่ะ

หลังจากนี้เดาไม่ออกจริง ๆ ว่า Lucusfilm ยังจะสนใจดึงดันสร้างภาคต่อไปแบบทันควันเลยไหม ถ้าสร้างต่อจะเอาใครมารับบท อินเดียนา โจนส์แทน หรือมีแผนจะรีบูตไหม ผลตอบรับด้านรายได้และคำวิจารณ์จากภาคนี้น่าจะเป็นตัวตัดสินใจได้ชัดเจน ถ้าวิเคราะห์แบบใจร้าย ภาคนี้ก็อาจมีสิทธิ์แป้กเพราะเหตุผลที่มันเชยนี่แหละ ถ้ายังคิดจะรีบูตใหม่ ผู้เขียนแนะนำว่า น่าจะลองเว้นว่างแฟรนไชส์ไปเลยสัก 10-20 ปีเป็นขั้นต่ำ เว้นไกล ๆ ให้คนคิดถึง (หรือลืมไปเลย) แล้วค่อยว่ากันอีกทีก็น่าจะดีครับ

ป.ล. ไม่มี End-Credits นะครับ


Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures
Indiana Jones and the Dial of Destiny | อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
คุณภาพด้านการแสดง
6.6
คุณภาพโปรดักชัน
6.6
คุณภาพของบทภาพยนตร์
5.5
ความบันเทิง
7.7
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.7
จุดเด่น
ฉากแอ็กชันอลังการงานสร้าง ดูสนุกตื่นเต้นสมกับหนังฟอร์มยักษ์ เคล้ามุกฮา ช็อตเรียกน้ำตา
ปู่ แฮร์ริสัน ฟอร์ด วาดลวดลายทิ้งทวนแฟรนไชส์ได้สมศักดิ์ศรี แบบไม่่น่าเชื่อว่า 82 แล้วแท้ ๆ
เรื่องราวประวัติศาสตร์ใกล้ตัวคุ้นหู เน้นการไขปริศนาและตั้งคำถามที่น่าสนใจ
ยังคงกลิ่นอายผ่านวิธีการเล่าเรื่อง Easter Egg ต่าง ๆ เน้นแฟนเซอร์วิส คนที่ดูทุกภาคน่าจะสนุก แต่คนที่ไม่เคยดูเลยก็ดูสนุก
จุดสังเกต
ตัวหนังใช้ขนบ สไตล์ วิธีการ การเล่าเรื่องจากหนังภาคก่อน ๆ และสไตล์สปีลเบิร์กมาค่อนข้างจะเยอะ ดูคลาสสิกแต่เชย
ตัวหนังเดาง่าย บทสรุปไม่ได้ยากเกินความคาดเดา และอาจเหวอจนหลายคนอาจไม่ชอบไปเลยก็ได้
บางช่วงเดินเรื่องช้าไปหน่อย
6.6
Indiana Jones and the Dial of Destiny

The post [รีวิว] Indiana Jones and the Dial of Destiny: บันเทิงผจญภัยวัยเกษียณ ไม่สดใหม่แต่ได้คลาสสิก appeared first on #beartai.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า